ตามที่นายกฯ เศรษฐา ได้ประกาศปรับการจ่ายเงินเดือนข้าราชการเป็น 2 งวด คือกลางเดือนและปลายเดือน จากนั้น จึงได้แถลงในสองวันถัดมาว่า ข้าราชการสามารถเลือกได้ ว่าต้องการรับเงินเป็น 2 งวด หรืองวดเดียวแบบเดิม

บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ทำการเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 13 – 17 กันยายน 2566 ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE พบการพูดถึงประเด็นการแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการจำนวน 26,091 ข้อความ และ 2,446,629 เอ็นเกจเมนต์ โดยมาจากช่องทาง Facebook จำนวน 53%, X (Twitter) 30%, YouTube 12% และช่องทางอื่นๆ รวม 5%

มองให้ชัด คนออกเสียงจริง เกือบครึ่งอาจยังไม่ใช่ข้าราชการ

ผู้ที่พูดถึงเรื่องการแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการ แบ่งเป็นเยาวชน* ผู้ที่อายุต่ำกว่า 24 ปี จำนวน 48%, ผู้ที่อายุ 25-34 ปี จำนวน 35% และผู้ที่อายุมากกว่า 34 ปี จำนวน 17%

เสียงว้าวุ่น ดังอื้ออึง นี่แหละ ต้นตอปัญหา ‘เงินช็อต’

ความรู้สึกของผู้พูด (Sentiment) ถึงประเด็นนี้ในเชิงลบ มีมากถึง 18.68% มากกว่าความรู้สึกเชิงบวกที่มีจำนวนการพูดถึงเพียง 7.45% 

ผู้ที่ไม่เห็นด้วยได้แสดงความคิดเห็นว่า การแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการสองรอบ จะทำให้เกิดปัญหาหมุนเงินไม่ทัน คือเมื่อเงินเดือนถูกแบ่งจ่ายในช่วงกลางเดือน เงินจะถูกนำไปใช้ในระหว่างเดือน ทำให้เมื่อถึงเวลาชำระหนี้ในช่วงปลายเดือน จะไม่สามารถทำได้ รวมถึง การแบ่งจ่ายเช่นนี้ จะเพิ่มงานให้แก่ฝ่ายการเงินที่เกี่ยวข้องด้วย

นอกจากนี้ ยังมีคนให้ความเห็นว่า อยากได้เงินเดือนขึ้น หรืออยากให้รัฐบาลขยายระยะเวลาปลดหนี้ หรือออกมาตรการที่ลดการจ่ายหนี้มากกว่า

‘ได้เร็วก็ดี’ คนเห็นด้วยก็มี แต่ไม่พูดเยอะ เจ็บคอ

ผู้ที่เห็นด้วยมองว่า จะช่วยลดการไปกู้เงินฉุกเฉิน เช่น บัตรเครดิต หรือหนี้นอกระบบได้ และยังสามารถนำเงินไปหมุน หรือเอาไปฝากได้ก่อนด้วย การได้เงินเร็วขึ้น จึงจัดเป็นเรื่องที่ดี

เสียงประชาชนติดจรวด ชอบ-ไม่ชอบอะไร รัฐบาลต้องรู้!

ทั้งนี้ ปัญหาค่าครองชีพและรายได้ไม่แปรผันตามกัน เป็นปัญหาที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน และหากเพิ่มปัญหาหนี้สินครัวเรือนเข้าไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ปัญหานั้นพอกพูนทวีคูณ ไม่จบไม่สิ้น  คนไทยเราจึงอยากให้รัฐบาลออกมาตรการที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้จริงและยั่งยืน

และเมื่อในโลกโซเชียลในปัจจุบัน ทำให้เกิดการสื่อสารสองทาง เอื้อให้เสียงจากประชาชนถึงรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว (เพียงปลายนิ้วคลิก) การวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุและผล จะก่อให้เกิดผลดี และรัฐบาลสามารถปรับนโยบายให้เกิดประโยชน์กับประชาชนให้ได้มากที่สุด ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐบาลแถลงปรับนโยบายอีกครั้งภายในสองวันว่า ข้าราชการสามารถเลือกรูปแบบของการรับเงินเดือนได้ 

การทำบัญชีการเงินแล เป็นที่พึ่งแห่งตน

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าเราจะ(แอบ)ฝากความหวังไว้ที่รัฐบาลมากน้อยแค่ไหน อย่าลืมพุทธสุภาษิตที่สอนนะครับว่า…

อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ – ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน

การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายจะทำให้เรารู้จักเส้นทางการเงินได้ดีขึ้น วางแผนการเงินได้ดีขึ้น และอาจเกิดปัญหาน้อยลง ไม่ว่าจะได้รับเงินเดือนในรูปแบบไหนก็ตาม

เพราะในยุคแบบนี้ รู้สิ่งใด ก็ไม่สู้ รู้งบการเงินตัวเอง!

*อ้างอิง: เยาวชน หมายถึงผู้ที่มีอายุระหว่าง 15 – 24 ปี ตามการกำหนดอายุของ UNICEF
https://statstd.nso.go.th/definition/projectdetail.aspx?periodId=46&defprodefId=548#:~:text=เด็ก%20หมายถึง%20ผู้ที่,สงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติ%20(UNICEF)

ผู้เขียน: ฝนทอง วิสุทธิ์ศรีมณีกุล