ตามที่อีลอน มัสก์ ได้ประกาศจำกัดการมองเห็นทวีตในหน้าฟีดของทวิตเตอร์เป็นการชั่วคราว โดยระบุว่า ผู้ที่สมัครใช้งานแบบยืนยันตัวตน (Twitter Blue) จะสามารถอ่านทวีตได้ 10,000 ทวีตต่อวัน, ผู้ใช้งานทั่วไป อ่านได้ 1,000 ทวีตต่อวัน, ผู้สมัครใช้งานใหม่ อ่านได้เพียง 500 ทวีตต่อวัน โดยมัสก์ให้เหตุผลว่า เพื่อจัดการกับปัญหาการถูกดูดข้อมูลไปใช้ และการจัดการระบบของทวิตเตอร์เอง รวมถึง เขาอยากให้ผู้ติดทวิตเตอร์ได้ใช้ชีวิต และใช้เวลากับเพื่อน ครอบครัวมากขึ้น (ข้อสุดท้ายนี่เอาฮาหรือเปล่า ไม่แน่ใจ)
จากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ทำการเก็บข้อมูลในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ถึง 3 กรกฎาคม 2566 ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE พบ 9,750 ข้อความ 841,868 เอ็นเกจเมนต์ โดยเริ่มจากกระแส #ทวิตล่ม ในทวิตเตอร์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม (เวลาประเทศไทย) เพราะเริ่มมีผู้ที่ถูกจำกัดการมองเห็น และเข้าใจผิดว่าสาเหตุนั้นเกิดจากทวิตเตอร์ล่ม
โดยผู้ที่คิดว่า #ทวิตล่ม ก่อนใคร และน่าจะเป็นกลุ่มผู้ใช้งานหลักของแพลตฟอร์ม มีอายุระหว่าง 18-24 ปี มีมากเป็นอันดับ 1 (59%) ตามมาด้วยผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 (18%) และผู้ที่อายุ 25-34 (18%) ตามลำดับ
จากนั้น ข่าวการจำกัดการมองเห็นของอีลอน มัสก์ เริ่มกระจายตัวในวงกว้าง มีการพูดถึงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึก (Sentiment) ในเชิงลบ (Negative) สูงถึง 1,799 ข้อความ คิดเป็น 28% จากข้อความทั้งหมด
โดยการพูดถึงในทางลบ (negative) ผู้พูดได้แสดงความไม่เห็นด้วย และรู้สึกว่า ถูกบีบบังคับให้จ่ายค่าสมัครแบบยืนยันตัวตน (Twitter Blue) เพื่อที่จะได้เพิ่มจำนวนการมองเห็นทวีต, มีการแนะนำให้มัสก์หาสิทธิพิเศษให้กับผู้ยืนยันตัวตนมากกว่าลดทอนการมองเห็นทวีตของผู้ใช้งาน, ข้อจำกัดที่เยอะเกินไป จนทำให้จุดแข็งของทวิตเตอร์ ในเรื่องของการตามเทรนด์ อ่อนด้อยลง รวมไปถึงแฟนคลับของศิลปินที่รู้สึกว่ามัสก์กำลังทำให้ศิลปินของตนมีโอกาสเป็นที่รู้จักได้ลดน้อยลงจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ตลอดจน มีการคาดเดาถึงสิ่งที่อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการที่ทวิตเตอร์จำกัดการมองเห็น ไม่ว่าจะเป็นการหมดอายุของ Google Cloud, มีการดูดข้อมูลในทวิตเตอร์ เพื่อนำไปใช้ฝึกฝนปัญญาประดิษฐ์ (AI Artificial Intelligence ) หรือการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากในช่วงต้นปี จนอาจก่อให้เกิดปัญหาดังกล่าวในที่สุด
นอกจากนี้ มีการแนะนำถึงแนวทางแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการใช้ TweetDeck แพลตฟอร์มฟรี ที่มีไว้ใช้จัดการบัญชีทวิตเตอร์หลายบัญชีพร้อมๆกัน เพื่อให้สามารถเห็นทวีตได้ไม่จำกัด หรือการย้ายไปใช้แพลตฟอร์มอื่น ไม่ว่าจะเป็น Bluesky Social, Mastodon, Threads ฯลฯ
หลังจากอีลอน มัสก์ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก* ได้เข้าซื้อทวิตเตอร์เมื่อปลายปี 2565 นโยบายสไตล์มัสก์ ก็เขย่าวงการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเชิญผู้บริหารเก่าออกยกทีม, การลดพนักงาน และนำทวิตเตอร์ออกจากตลาดหลักทรัพย์, การเก็บค่าใช้งานรายเดือน (Twitter Blue) เพื่อยืนยันตัวตน และรับสิทธิ์ในการใช้ฟีเจอร์พิเศษ รวมถึง ล่าสุด การจำกัดการมองเห็นทวีต คงต้องเตรียมเกาะติดขอบสนามว่าอะไรจะเกิดขึ้นในตอนต่อไป กับแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้ชาวไทยถึง 14.6 ล้าน* หรือคิดเป็น 20.3% ของประชากรไทยทั้งหมด
*Reference:
Digital 2023 Thailand: https://datareportal.com/reports/digital-2023-thailand
Today’s Winners and Losers: https://www.forbes.com/real-time-billionaires/#635871103d78
วิเคราะห์โดย ฝนทอง วิสุทธิ์ศรีมณีกุล