หากพูดถึงวิธีการทำการตลาดสำหรับธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) หรือ B2B Marketing อาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก และดูไม่หวือหวามากนักเมื่อเทียบกับการทำการตลาดสำหรับธุรกิจในรูปแบบอื่นๆ อย่างเช่นการทำ B2C Marketing
B2B Marketing คืออะไร
B2B นั้นย่อมาจาก Business-to-Business หมายถึง การทำธุรกิจที่ติดต่อซื้อขายกับองค์กรธุรกิจด้วยกันเอง ไม่ใช่การซื้อในนามคนธรรมดาแบบรายบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจในประเภทที่เป็นบริษัทเอเจนซี บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจ แพ็คเกจทัวร์สำหรับองค์กร บริษัทผลิตสินค้าขายส่ง บริษัทด้านกฎหมายสำหรับองค์กร ฯลฯ
ดังนั้น B2B Marketing คือ การทำการตลาดให้กับธุรกิจที่ทำการซื้อขายกันระหว่างองค์กร โดยการทำ B2B Marketing จะมีจุดประสงค์เพื่อทำให้ธุรกิจอื่นๆ คุ้นเคยกับชื่อแบรนด์ ไปจนถึงเปลี่ยนองค์กรต่างๆ มาเป็นลูกค้าโดยการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากการทำ B2C Marketing ซึ่งเป็นการทำการตลาดระหว่างแบรนด์และลูกค้าโดยตรง
B2B Marketing ต่างจากธุรกิจแบบ B2C Marketing อย่างไร
ในความเป็นจริงแล้ว โมเดลธุรกิจมีได้หลากหลายมาก เช่น C2C, C2B, B2B2C แต่ในบทความนี้จะขอหยิบยกเอา 2 โมเดลธุรกิจที่เรามักเห็นกันบ่อยๆ นั่นคือ โมเดลธุรกิจแบบ B2B Marketing และ B2C Marketing มาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น โดยแบ่งความแตกต่างออกเป็น 6 ด้านด้วยกัน ดังนี้
ที่มาภาพ: seobility
กลุ่มเป้าหมายในการทำการตลาด (Target Audience)
การทำ B2B Marketing จะเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายไปที่องค์กร หน่วยงาน หรือบริษัท โดยจะพุ่งเป้าไปยังคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อภายในองค์กรนั้นๆ เป็นหลัก เช่น คุณทำบริษัทเกี่ยวกับซอฟต์แวร์หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ แน่นอนว่า กลุ่มเป้าหมายของคุณไม่ใช่ผู้ใช้งานอย่างทีมแพทย์ พยาบาล แต่จะเป็นผู้มีตำแหน่งในการตัดสินใจจัดซื้อหรือจัดจ้าง เช่น CIO เจ้าหน้าที่เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือหัวหน้าโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ส่วนการทำการตลาดแบบ B2C (Business to Customer) จะเป็นการทำการตลาดเพื่อเข้าหากลุ่มคนเป็นจำนวนมากที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ซื้อก็ได้ ตัวอย่างเช่น เด็กที่เห็นโฆษณา PlayStation อาจโน้มน้าวให้พ่อแม่ซื้อให้ เป็นต้น
จากข้อมูลทั้งหมดจึงสรุปได้ว่า B2B Marketing จะไม่ได้เน้นการทำการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากและเป็นใครก็ได้เหมือนกับการตลาดแบบ B2C Marketing แต่จะเน้นกลุ่มเป้าหมายที่มีอำนาจการตัดสินใจซื้อเป็นหลัก
กระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค (Buying Cycle)
กระบวนการตัดสินใจซื้อของธุรกิจแบบ B2B จะซับซ้อนและใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าธุรกิจแบบ B2C รวมถึงบุคคลที่จำเป็นต้องตัดสินใจซื้อของธุรกิจแบบ B2B อย่างฝ่ายบัญชี ฝ่ายจัดซื้อ และหัวหน้าแผนกต่างๆ จะต้องลงความเห็นร่วมกันก่อนว่าสินค้าหรือบริการนั้นๆ จำเป็นสำหรับองค์กรจริงๆ จึงจะเข้าสู่กระบวนการปิดการขายได้
และในทางกลับกันฝั่งธุรกิจแบบ B2C มักมีกระบวนการซื้อที่ง่ายกว่า เพราะการตัดสินใจซื้อมักจะทำโดยคนคนเดียวและใช้เวลาไม่กี่นาที หรือถ้าเพิ่มกระบวนการที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อยก็เป็นแค่การขอคำแนะนำจากคนรอบตัวเท่านั้น
วิธีการตัดสินใจซื้อ (Logic VS Emotion)
เนื่องจากสินค้าหรือบริการประเภท B2B มักซับซ้อนกว่าธุรกิจประเภท B2C วิธีการตัดสินใจซื้อของธุรกิจในรูปแบบ B2B จึงเน้นการใช้เหตุผลและจะต้องทำการศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจที่กำลังจะเป็นพาร์ทเนอร์ หรืออาจมาเป็นซัพพลายเออร์ (Supplier) ให้กับบริษัท การทำ B2B Marketing จึงต้องเน้นการให้ข้อมูลที่ชวนให้รู้สึกถึงความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้รายชื่อหรือ Lead ของผู้ที่สนใจกลับมา หลังจากนั้นจึงจะทำการเปลี่ยนผู้สนใจธรรมดาๆ ผ่านการฟูมฟักให้กลายเป็นผู้สนใจที่มีคุณภาพ (Lead Nurturing) ต่อไป
ส่วนธุรกิจแบบ B2C ผู้บริโภคมักมีปัจจัยการตัดสินใจเลือกที่หลากหลาย เช่น รสนิยม อารมณ์ ไปจนถึงการทำโปรโมชันที่น่าดึงดูดใจ การทำ B2C Marketing จึงต้องเน้นการสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ (Brand Awareness) ด้วยคอนเทนต์ที่สนุกสร้างสรรค์ มีใจความสำคัญที่ย่อยง่าย ไม่น่าเบื่อ ยกเว้นก็แต่กับสินค้าที่จำเป็นต้องมีการตัดสินใจซื้อสูง เช่น บ้าน คอนโด การทำการตลาดก็อาจจะต้องมีการให้ข้อมูลบวกกับโปรโมชันจูงใจเพิ่มเติมเข้าไปด้วย จึงจะช่วยทำให้ปิดการขายได้มากขึ้น
ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return On Investment)
ธุรกิจแบบ B2B มักต้องการทราบผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ทันที เนื่องจากเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทางบริษัท การทำ B2B Marketing จึงต้องทำให้องค์กรต่างๆ มองเห็นถึงความเชี่ยวชาญ และทำให้รู้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการที่นำเสนอนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและผลกำไรของบริษัทได้อย่างไร
สำหรับธุรกิจแบบ B2C ผู้บริโภคมักให้ความสนใจในเรื่องของความบันเทิง ข้อตกลง และโปรโมชันจูงใจมากกว่าในเรื่องของประสิทธิภาพ ความเชี่ยวชาญ หรือข้อมูลแบบละเอียด จึงอาจจะไม่ได้คำนึงถึง ROI เท่ากับธุรกิจในฝั่ง B2B
การทำการตลาดด้วยคอนเทนต์ (Content Marketing)
ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ B2B มักคาดหวังว่าจะได้รับข้อมูลที่ละเอียดและเพียงพอต่อการที่จะทำให้ตัดสินใจซื้อได้ แน่นอนว่าการทำ Content Marketing กับคนกลุ่มนี้จะต้องให้ความรู้จนนำไปสู่การติดต่อกับทีมฝ่ายขายหรือทิ้งช่องทางการติดต่อไว้เพื่อให้เกิดการพูดคุยที่ช่วยให้ปิดการขายได้ง่ายมากขึ้น
เช่น การทำคอนเทนต์แบบรีพอร์ตที่ให้ข้อมูลเชิงลึกในกลุ่มอุตสาหกรรมของธุรกิจ B2B ที่คุณต้องการได้มาเป็นลูกค้า อย่าง Wisesight เองก็มีการทำรีพอร์ตต่างๆ ให้กับธุรกิจที่สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ฟรี ซึ่งถ้าคุณทำการดาวน์โหลด นั่นแสดงให้เห็นว่า คุณมีแนวโน้มที่สนใจในสินค้าหรือบริการของเราในฝั่งของการทำ RESEARCH เป็นต้น
ในฝั่งของการทำคอนเทนต์เพื่อธุรกิจแบบ B2C ซึ่งมักเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคก็อาจจะต้องเน้นความหลากหลาย ความสนุก เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ (Brand Awareness) และสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ให้เกิดขึ้นระหว่างแบรนด์และตัวกลุ่มเป้าหมาย เช่น การทำ Influencer Marketing ที่ช่วยจูงใจคนจากการรีวิวสินค้าและบริการจากบุคคลที่พวกเขาชื่นชอบ เป็นต้น
ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด (Marketing Costs)
การทำ B2B Marketing มักเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานกว่าที่จะเกิดการตัดสินใจซื้อได้ แถมการจะปิดการขายในแต่ละครั้งอาจจะไม่ได้ทำได้ด้วยการโน้มน้าวใจคนเพียงแค่คนเดียว แต่ยังต้องจูงใจให้หลายฝ่ายภายในบริษัทให้เชื่อถือด้วย นักการตลาด B2B จึงต้องใช้เงินมากขึ้นในการฟูมฟักกลุ่มเป้าหมายที่เป็นธุรกิจแบบ B2B ส่วนธุรกิจแบบ B2C มักจะปิดการขายได้ง่ายกว่า เนื่องจากเป็นการตัดสินใจคนเดียว ทำให้ซื้อได้รวดเร็วกว่า และใช้เงินในการทำการตลาดน้อยกว่าด้วย
ขั้นตอนการทำ B2B Marketing
ขั้นตอนในการทำ B2B Marketing จะขึ้นอยู่กับกระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้า โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
ที่มาภาพ: cognism
ขั้นที่ 1 การรับรู้ (Awareness)
เป็นขั้นตอนที่กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดตระหนักได้ว่า พวกเขากำลังมีปัญหาบางอย่าง และเริ่มต้นค้นหาข้อมูลเพื่อหาลู่ทางสำหรับแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ในขั้นตอนนี้การทำ B2B Marketing จะเข้ามามีบทบาทในการให้ข้อมูลที่สำคัญและช่วยแก้ปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายกำลังเผชิญอยู่ได้ เช่น การทำ SEO ในคำคีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหา ซึ่งถ้าพวกเขาเสิร์ชมาเจอเว็บไซต์ของคุณ และคุณแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักและจดจำคุณได้ในฐานะของเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ เป็นต้น
ขั้นที่ 2 การพิจารณา (Consideration)
เป็นขั้นตอนที่กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดจะทำการรวบรวมข้อมูลที่ค้นหามาเข้าด้วยกัน เพื่อนำมาพิจารณาว่าทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหานี้คืออะไร หากขั้นตอนนี้คุณนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อเป็นทางออกเพิ่มเติมที่ดูแล้วเหนือกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆ กลุ่มเป้าหมายก็จะนำไปพิจารณาร่วมด้วย
ขั้นที่ 3 การตัดสินใจ (Decision)
หากสินค้าและบริการของคุณตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายมองหา ทั้งในด้านการใช้งาน การแก้ปัญหา การเพิ่ม ROI และอยู่ในงบประมาณที่ต้องการก็จะทำการตัดสินใจซื้อได้
ขั้นที่ 4 การซื้อซ้ำ (Retention)
การทำ B2B Marketing จะให้ความสำคัญสำหรับการทำ CRM หรือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำมากขึ้น เนื่องจากมูลค่าของลูกค้าของธุรกิจ B2B นั้นค่อนข้างมาก และมีค่าใช้จ่ายต่อการได้มาซึ่งลูกค้าหนึ่งรายนั้นค่อนข้างสูง ทำให้การรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ให้กลับมาซื้อซ้ำเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดลงไปได้มากกว่าการเสียเงินเพื่อหาลูกค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ
กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะกับธุรกิจ B2B
สำหรับกลยุทธ์การทำการตลาดที่เหมาะจะนำมาทำ B2B Marketing นั้นจะมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน ดังนี้
การทำ Marketing แบบ Account Based
ที่มาภาพ: superoffice
Account-Based Marketing คือ การทำการตลาดที่จะเน้นเข้าถึงลูกค้าเป็นรายแอ็กเคานต์ เช่นเป็นบริษัท องค์กร หรือหน่วยงาน โดยจะเริ่มต้นทำการตลาดกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากที่สุดและมีมูลค่าสูง
การทำการตลาดวิธีนี้เหมาะกับการนำมาใช้ทำ B2B Marketing เนื่องจากเป็นการทำการตลาดกับคนกลุ่มเล็กๆ โดยเน้นคุณภาพในการทำกิจกรรมการตลาดและการขายต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการของคนกลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุด โดยจะมีขั้นตอนคร่าวๆ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ
- Identify : หาให้เจอว่าใครคือกลุ่มเป้าหมาย โดยจะต้องเจาะจงถึงอุตสาหกรรม บริษัท ตำแหน่งของคนในบริษัท หรือเจาะจงชื่อของบริษัทที่ต้องการได้เลยยิ่งดี
- Engage : การติดต่อเข้าไปปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับเป้าหมายในรูปแบบของการทำ Personalized Marketing หรือการทำการตลาดเฉพาะบุคคล
- Land & Expand : การปิดการขายและขยายฐานลูกค้าที่มีความใกล้เคียงกับฐานลูกค้าเดิมที่ปิดไปได้แล้ว
การทำ Marketing Automation
Marketing Automation หรือการตลาดแบบอัตโนมัติ เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่เหมาะสำหรับ B2B Marketing ที่มีกระบวนการตัดสินใจซื้อที่นานทำให้ต้องทำการติดตาม ติดต่อ และฟูมฟักให้ Lead กลายเป็นลูกค้าให้ได้ในท้ายที่สุด ซึ่งโดยปกติบริษัทก็มักจะมอบหมายหน้าที่เหล่านี้ให้กับทีมงานฝ่ายขายที่จะต้องคอยโทรสอบถามลูกค้า บันทึกข้อมูล และติดตามอย่างต่อเนื่อง แต่งานเหล่านี้มักจะเป็นงานซ้ำซาก แถมยังลงแรงมากเกินความจำเป็น
ดังนั้น การใช้ Marketing Automation ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทั้งฝ่ายขาย รวมไปถึงฝ่ายการตลาดด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเข้ามาทำงานแทนในส่วนที่ต้องทำเป็นประจำซ้ำๆ จะช่วยจัดระบบการดูแลลูกค้า และทำให้การพูดคุย ติดต่อ ไปจนถึงดูแลเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
(Wisesight ขอแนะนำ Marketing Automation ที่จะช่วยให้การทำ B2B Marketing ง่ายขึ้นด้วยการใช้งาน WARROOM ลองดูข้อดีของการใช้งาน WARROOM ได้ ที่นี่)
การทำ SEO Marketing
การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การทำการตลาดให้ติดอันดับการค้นหาบน Search Engine เช่น Yahoo Google ฯลฯ ซึ่งมีเทคนิคมากมายหลายอย่างที่จะต้องทำให้ถูกใจ Search Engine จึงจะผลักดันให้เว็บไซต์ วิดีโอ หรือแม้กระทั่งรูปภาพติดอันดับผลการค้นหาในอันดับต้นๆ ได้
การทำ SEO เป็นวิธีการทำการตลาดที่เหมาะกับธุรกิจแบบ B2B เพราะสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่กลุ่มธุรกิจแบบ B2B ใช้ในการค้นหาเพื่อทำคอนเทนต์ที่ตอบคำถามที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาได้ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มเป้าหมายของคุณคือ ธุรกิจที่ทำการค้นหาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์การตลาด พวกเขาอาจจะเสิร์ชบน Google ด้วยคำว่า Marketing Tool และถ้าเว็บไซต์ของคุณทำ SEO จนติดในหน้าแรกในคีย์เวิร์ดดังกล่าว ก็จะเพิ่มโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะทำการคลิกเข้ามายังเว็บไซต์เพื่อดูว่าสินค้าหรือบริการของคุณตอบโจทย์พวกเขาหรือเปล่า เป็นต้น
การทำ Email Marketing
การทำ Email Marketing เป็นการส่งอีเมลไปให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะได้มาเป็นลูกค้า แต่ไม่ใช่แค่ส่งเนื้อหาอีเมลเพื่อขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องทำการส่งอีเมลโดยอ้างอิงจากพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มเป้าหมายมักจะเปิดอีเมลช่วงเช้า และมักจะคลิกเปิดเฉพาะอีเมลที่ให้ความรู้เกี่ยวกับคอนเทนต์หรือรีพอร์ตอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นหลัก เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป็นฝ่ายจัดซื้อของบริษัทยานยนต์ เมื่อคุณเห็นว่า กลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมแบบไหน คราวนี้ก็ถึงเวลาที่จะทำ Email Marketing ที่ส่งเฉพาะข้อมูลที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ และค่อยๆ สอดแทรกการขายสินค้าและบริการเข้าไป เพื่อทำให้บริษัทของคุณเป็นที่รู้จัก และอาจจะมีโอกาสเข้าไปในกระบวนการตัดสินใจซื้อต่อไปได้นั่นเอง
การทำ CRM Marketing
การทำ CRM Marketing คือ การทำการตลาดเพื่อสานสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย โดยจะทำได้ทั้งช่วงที่กำลังขาย กำลังกลายเป็นลูกค้า หรือปิดการขายไปแล้วก็ได้ โดยเทคนิคการทำการตลาดแบบ CRM จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มธุรกิจแบบ B2B ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้มักใช้เวลาและเหตุผลในการตัดสินใจซื้อ หากบริษัทของคุณสามารถสานสัมพันธ์กับพวกเขาได้อย่างต่อเนื่อง รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร และดูแลได้อย่างดี ก็จะช่วยทำให้ปิดการขายได้มากขึ้น รวมถึงทำให้เกิดการซื้อซ้ำได้มากขึ้นด้วย
(ลองดูเครื่องมือช่วยทำ CRM Marketing พร้อมวิธีการใช้งานอย่างละเอียดได้ที่ แนะนำระบบ CRM/FAQ ช่วยจัดการ Customer Data Platform อย่างตรงจุด)
ตัวอย่างธุรกิจ B2B ในประเทศไทย
ธุรกิจ B2B ในประเทศไทยนั้นมีหลายอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตสินค้า บริษัทเอเจนซี บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจ/ด้านกฎหมายให้องค์กร บริษัททัวร์สำหรับองค์กร ฯลฯ ซึ่งจะทำธุรกิจโดยขายสินค้าหรือบริการ ให้กับลูกค้าที่เป็นลูกค้าองค์กรด้วยกันเอง และถ้าจะให้ลงลึกถึงตัวอย่างธุรกิจแบบ B2B อย่างละเอียด ก็ต้องขอยกตัวอย่างจาก Wisesight เองที่ก็เป็นธุรกิจในรูปแบบ B2B ด้วยเช่นกัน
เนื่องจาก Wisesight เราเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลอันดับหนึ่งในประเทศไทยที่ทำการพัฒนาเครื่องมือและบริการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล (Data) ในด้านต่างๆ เช่น
- WARROOM แพลตฟอร์มดูแลลูกค้าในช่องทางโซเชียลมีเดียให้กลายเป็นศูนย์รวมของข้อมูลและการทำ CRM
- RESEARCH บริการทำบทวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และบริการด้าน DATA CONSULTING ที่ปรึกษาสำหรับการทำธุรกิจ
- ZOCIAL EYE เครื่องมือด้าน Social Listening ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจข้อมูลตลาดและวางกลยุทธ์ที่เหนือกว่าคู่แข่ง
แพลตฟอร์มและบริการต่างๆ จึงออกแบบมาเพื่อธุรกิจแบบ B2B เช่น แบรนด์ เอเจนซี หน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ ที่จำเป็นจะต้องใช้ข้อมูลบนโลกโซเชียลมีเดียในการทำการตลาดหรือดูแลลูกค้า โดยแพลตฟอร์มและบริการทั้งหมดนี้สามารถนำไปใช้ในการทำการตลาด การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจ ไปจนถึงส่งเสริมการขายสำหรับองค์กรได้ ซึ่งธุรกิจต่างๆ ที่สนใจสามารถติดต่อทีมงาน Wisesight เพื่อสอบถามและรับข้อมูลสำหรับประกอบการตัดสินใจก่อนได้ ทำให้ธุรกิจ B2B ที่ร่วมงานกับเราไม่ได้ตัดสินใจจากการอ่านข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับคำปรึกษาที่เหมาะสมอีกด้วย
สรุป
จะเห็นว่าการทำ B2B Marketing จะไม่ได้เน้นการยิงสารไปหาคนจำนวนมาก และไม่ได้ใช้ข้อความเดิมๆ ซ้ำๆ เพื่อดึงดูดให้คนเหล่านั้นเข้ามาหา แต่จะเน้นคุณภาพในการทำการตลาดในหลายๆ ด้านที่ตอบโจทย์คนเฉพาะกลุ่มที่เป็นคนตัดสินใจซื้อภายในองค์กรเป็นหลัก เพราะวิธีนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่าย สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างธุรกิจ รวมถึงเพิ่มโอกาสในการปิดการขายสำหรับธุรกิจแบบ B2B ได้มากกว่าหลายเท่าตัว
อ้างอิง
https://blog.hubspot.com/marketing/b2b-marketing
https://www.cognism.com/what-is-b2b-marketing
https://www.digitalauthority.me/resources/6-main-differences-between-b2b-and-b2c-marketing/