Market Research (การวิจัยตลาด) เป็นกระบวนการสำคัญมากสำหรับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสตาร์ทอัป (Startup) หรือธุรกิจที่ดำเนินมาอย่างยาวนานล้วนต้องทำ Market Research เพื่อช่วยในการตัดสินใจปรับปรุง แก้ปัญหา หรือสร้างโอกาสทางการตลาดทั้งสิ้น
แต่นักการตลาดจะทราบได้อย่างไรว่า Market Research ที่ดีนั้นควรเป็นอย่างไร หรือจะเลือกใช้การวิจัยการตลาดในรูปแบบไหนถึงจะเหมาะสม รวมถึง ควรเลือกใช้ Marketing Research เจ้าไหนในการทำวิจัย วันนี้ Wisesight ในฐานะของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสบการณ์ในการทำวิจัยการตลาดมากว่า 15 ปี มีคำตอบมาฝากทุกคน
Market Research คืออะไร
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจสักนิดว่า การวิจัยตลาดหรือ Market Research คืออะไร?
Market Research คือ กระบวนการการสำรวจ เก็บรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดที่เป็นเป้าหมายของธุรกิจและผู้บริโภค ใช้เพื่อค้นหาโอกาสทางธุรกิจ การวิจัยเพื่อศึกษาและติดตามพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือใช้ข้อมูลเพื่อเป็นฐานในการเปรียบเทียบการดําเนินงานของตนเองกับธุรกิจคู่แข่ง เช่น การสํารวจทัศนคติของผู้บริโภคต่อแบรนด์, การวัดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเป้าหมายกับแบรนด์, การค้นหาปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกและตัดสินใจซื้อ เป็นต้น
ธุรกิจทำ Market Research (วิจัยการตลาด) ไปเพื่ออะไร
ช่วยลดความเสี่ยงและโอกาสในการตัดสินใจที่ผิดพลาด
การลงทุนทำธุรกิจย่อมมีความเสี่ยงเสมอ แต่การทำ Marketing Research จะช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจลงได้ เนื่องจากการทำวิจัยการตลาดเป็นกระบวนการที่สามารถใช้ในการตรวจสอบกลุ่มลูกค้าปัจจุบันหรือกลุ่มลูกค้าใหม่ของบริษัทได้ว่า สินค้าหรือบริการของบริษัทนั้นยังตอบโจทย์ความต้องการได้อยู่หรือไม่ ความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน หรือถ้าจะผลิตสินค้าหรือบริการใหม่ควรเป็นอย่างไร โดยวัดผลการสำรวจจากเสียงของผู้บริโภค ซึ่งการมีข้อมูลทางการตลาดอยู่ในมือก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดและลดโอกาสในการขาดทุนได้มากขึ้น
ช่วยกำหนดกลยุทธ์การทำธุรกิจและการตลาด
การทำวิจัยการตลาดจะช่วยกำหนดกลยุทธ์การทำธุรกิจและการตลาด เพื่อทำให้สินค้าและบริการของธุรกิจสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ โดยนักการตลาดมักจะทำ Market Research เพื่อพิจารณาคู่แข่งถึงข้อดีข้อด้อย วิธีการบริหารจัดการ วิธีการแก้ไขปัญหาในองค์กร รวมถึงเป็นส่วนสำคัญของการวางแผนและการควบคุมผลสัมฤทธิ์ทางการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
อย่างที่ทราบกันดีว่า ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่นั้นใช้เงินมากกว่าการรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ค่อนข้างมาก อีกทั้ง ความสำเร็จในการพยายามขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าใหม่นั้นมีอัตราค่อนข้างต่ำ คือ 5-20% ในขณะที่การขายให้กับลูกค้าปัจจุบันมีอัตราความสำเร็จมากถึง 60-70% ธุรกิจจึงต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายด้วยการทำวิจัยการตลาด และนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Customer Experience) อย่างต่อเนื่อง
และถ้าธุรกิจสามารถออกแบบประสบการณ์การใช้งาน การซื้อของ หรือการบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ก็จะกลายเป็นปัจจัยที่มีส่วนในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า และทำให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการซ้ำๆ ได้นั่นเอง
ขั้นตอนการทำวิจัยตลาด (Market Research) มีอะไรบ้าง?
1.กำหนดวัตถุประสงค์การทำการวิจัยตลาดและกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
โดยจะต้องทำการระบุว่า ต้องการทำ Market Research เพื่อศึกษาข้อมูลหรือแก้ไขปัญหาอะไร และทำการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมด้วยว่า ‘เป็นใคร’ จากข้อมูลต่างๆ เช่น เพศ อายุ รายได้ อาชีพ การศึกษา ที่อยู่อาศัย ความสนใจ หรือพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย หรืออยากจะได้เป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างเป็นการจำลองกลุ่มลูกค้าสมมติ (Buyer Persona) หรือ (Customer Persona) ที่จะนำไปใช้วางกลยุทธ์การตลาดเพื่อดึงดูดกลุ่มคนเหล่านี้ต่อไป
2.ออกแบบวิธีวิจัยและตั้งคำถาม
เลือกวิธีในการทำวิจัยตลาด เช่น การทำแบบสอบถาม, การทำแบบสำรวจ, การสัมภาษณ์, การสังเกตการณ์ ฯลฯ หลังจากนั้น จึงทำการตั้งคำถามที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการจะทำ Market Research ให้ลึกมากขึ้น
3.เก็บข้อมูล รวบรวมข้อมูล
จะเป็นขั้นตอนของการนำวิธีการวิจัยไปทำการจัดเก็บข้อมูลจริง โดยจะต้องไม่ลืมที่จะทำการควบคุมและตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่จัดเก็บได้มีการจัดเก็บอย่างเหมาะสม และเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพมากพอที่จะนำมาตีความและสรุปผลได้อย่างแม่นยำ
4.ตีความข้อมูล
โดยเริ่มต้นจากการทำความสะอาดข้อมูล การจับกลุ่มข้อมูล การจัดอันดับข้อมูล การหาข้อมูลที่โดดเด่นที่สุด และหาว่าความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มีเป็นอย่างไร เพื่อสกัดออกมาเป็นข้อสรุปของข้อมูลเชิงลึกที่ต้องการ
5.สรุป นำเสนอ หรือนำไปใช้ตัดสินใจ
เป็นขั้นตอนการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลข้อมูลที่จัดเก็บมาเขียนเป็นรายงานในรูปแบบที่อ่านเข้าใจง่าย โดยมากจะประกอบด้วยบทสรุป รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการวิจัยตามที่กล่าวมาข้างต้น ผลการสำรวจหรือผลลัพธ์จากการประมวลผลข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ค้นพบ และข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ เป็นต้น
การวิจัยตลาดมีกี่วิธี
1.การวิจัยการตลาดเชิงคุณภาพ (Qualitative Study)
การวิจัยการตลาดเชิงคุณภาพ (Qualitative Study) คือ รูปแบบการวิจัยตลาดที่เน้นทำความเข้าใจประเด็นที่ศึกษาอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้เน้นข้อมูลในเชิงตัวเลข ทำให้แบรนด์หรือธุรกิจรู้จักและเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งและถ่องแท้
ในด้านการทำ Market Reseach มักใช้การวิจัยการตลาดเชิงคุณภาพเพื่อเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เข้าใจตลาด และเข้าใจคู่แข่งขัน ในรูปแบบที่ไม่สามารถใช้เพียงตัวเลขในการอธิบายได้ จะมีประโยชน์มากกับธุรกิจที่หาโอกาสหรือไอเดียใหม่ๆ ที่มองไม่เห็น หรือในธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้หรือซื้อของผู้บริโภค ไปจนถึงเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ให้เป็นไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้น
สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยการตลาดเชิงคุณภาพ (Qualitative Study) จะมีดังต่อไปนี้
การสนทนากลุ่ม (Focus Groups)
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยการตลาดเชิงคุณภาพด้วยการพูดคุยกับกลุ่มตัวอย่าง 6-10 คน ที่มี Persona บางอย่างเหมือนกัน โดยข้อมูลที่ได้จะมาจากการถกเถียงโต้ตอบกันเองของกลุ่มสนทนา ทำให้มั่นใจในความถูกต้องแม่นยำ มีความน่าเชื่อถือ และมีความหลากหลายของข้อมูล รวมถึงช่วยให้เก็บข้อมูลจากตัวอย่างจำนวนหลายคนได้ในระยะเวลาสั้น แต่ผู้ดำเนินการสนทนาจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการซักถามและพูดคุย ไม่เช่นนั้นแนวทางการสนทนากลุ่มที่เรียบเรียงไม่ดี ไม่มีลำดับ มีความซับซ้อน จะทำให้การสนทนาวกวนและสับสน ซึ่งอาจจะทำให้ผลสรุปของการวิจัยไม่แม่นยำหรือไม่ตอบจุดประสงค์ของการวิจัย
การสัมภาษณ์ (Interview)
จะเป็นการซักถามพูดคุยกันระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ เป็นการถามเจาะลึกล้วงคำตอบอย่างละเอียด และในขณะที่ทำการสัมภาษณ์ผู้ที่ทำการสัมภาษณ์ยังสามารถใช้วิธีการสังเกตไปด้วยได้ว่าผู้ตอบมีความจริงใจกับการตอบหรือไม่ หากมีก็สามารถดัดแปลงและแก้ไขคำถามจนกว่าผู้ตอบจะเข้าใจคำถาม ทำให้เข้าใจในข้อมูลระหว่างกันและกันได้ดี
แต่การสัมภาษณ์นั้นใช้เวลา เงิน และพลังงานมาก อีกทั้ง ผู้สัมภาษณ์จะต้องระวังไม่ใส่ความคิดของตนเองลงไปในความคิดของผู้ถูกสัมภาษณ์ ไม่เช่นนั้นข้อมูลอาจผิดพลาดได้ รวมถึงในบางครั้งข้อมูลที่ได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทันทีทันใดและความจำของผู้ถูกสัมภาษณ์ ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน
การสอบถามตามบริบท (Contextual Inquiry)
เป็นการลงพื้นที่ในการวิจัยโดยเข้าร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อทำความเข้าใจในกิจกรรมต่างๆ ที่ผู้คนในพื้นที่นั้นประสบพบเจอ หากผู้สอบถามทำการสัมภาษณ์ได้ดีการสนทนาก็จะช่วยทำให้เห็นภาพและรายละเอียดได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แต่ในบางกรณีที่เป็นเรื่องส่วนตัว หรือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอาจไม่มีใครยอมตอบคำถามตามความจริง ทำให้ไม่ได้ข้อมูลตามที่ต้องการ รวมถึงเป็นวิธีการที่ใช้เวลานานอีกด้วย
2.การวิจัยการตลาดเชิงปริมาณ (Quantitative Study)
การวิจัยการตลาดเชิงปริมาณ (Quantitative Study) คือ วิธีการวิจัยตลาดที่ทำให้ได้ข้อมูลออกมาในเชิงของตัวเลข ส่วนใหญ่จึงใช้เพื่อการอธิบายปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ การอธิบายเน้นการนำเสนอเชิงตัวเลขทางสถิติ เช่น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน เป็นต้น หรือถ้าในฝั่งของการทำวิจัยทางการตลาดจะใช้ในการวัดปริมาณของพฤติกรรม เช่น มีคนจำนวน xx% ชอบผลิตภัณฑ์ที่มีสีขาวมากกว่าสีดำ, ใช้ในการวัดประเมินผลของการทำกิจกรรมการตลาด หรือใช้ในการพิสูจน์ข้อสมมติฐานในการวิจัย เช่น มีสินค้าอยู่ประมาณ 10 รูปแบบแต่ไม่แน่ใจว่า สินค้ารูปแบบใดที่คนชอบมากที่สุดก็ต้องทำแบบสำรวจเพิ่มเติม เป็นต้น
สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยการตลาดเชิงปริมาณ (Quantitative Study) จะมีดังต่อไปนี้
การฝากคำถามเล็กๆ พ่วงกับงานวิจัยชิ้นอื่น (Omnibusing)
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยตลาดแบบ Omnibus เป็นวิธีการวิจัยการตลาดด้วยการรวบรวมข้อมูลในหัวข้อที่มีความหลากหลายเอาไว้ในการสัมภาษณ์ครั้งเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนจ่ายเงินเพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์ ข้อดีคือเป็นวิธีการที่ช่วยประหยัดต้นทุนจากการแชร์ต้นทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลจากธุรกิจหลายราย มีความยืดหยุ่น และรวดเร็วจากการเข้าไปสำรวจในพื้นที่สัญจรอย่างรถโดยสารประจำทาง
แต่ทั้งนี้ วิธีการหาข้อมูลเชิงปริมาณแบบ Omnibus ก็ยังมีความเสี่ยงทั้งในเรื่องของการไม่ให้ความร่วมมือของกลุ่มประชากรที่อาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังไม่เหมาะกับการวิจัยตลาดที่มีคำถามที่ยาว เพราะจะทำให้ผู้ตอบรู้สึกเหนื่อยและอาจทำให้ได้คำตอบที่ไม่แม่นยำกลับมาได้เช่นกัน
การส่งอีเมลหรือจดหมายสำรวจทางไปรษณีย์ (Email or Snail Mail Survey)
การส่งอีเมลหรือจดหมายสำรวจทางไปรษณีย์ (Email or Snail Mail Surveys) จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยตลาดที่ส่งผ่านทางอีเมล (E-mail) หรือจดหมายสำรวจทางไปรษณีย์ที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน เพื่อให้ได้ข้อมูลโดยไม่ต้องให้บุคคลใดโทรหาหรือโต้ตอบกับผู้ตอบทีละคน แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่แบบสำรวจหรือแบบทดสอบที่ส่งไปอาจตกหล่นไม่ได้รับการตอบรับ หรือใช้ผู้อื่นทำแบบสำรวจแทน จึงทำให้ข้อมูลที่ได้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้ง่าย
การโทรสำรวจผ่านโทรศัพท์ (Telephone Survey)
การโทรสำรวจผ่านโทรศัพท์ (Telephone Survey) จะเป็นการรวบรวมข้อมูลในเชิงปริมาณด้วยการอ่านคำถามให้กับผู้ตอบแบบสอบถามผ่านโทรศัพท์ มีข้อดีคือไม่จำเป็นต้องติดต่อแบบเห็นหน้ากัน พนักงานโทรศัพท์สามารถรวบรวมข้อมูลหรือจัดกลุ่มสนทนาได้ และทำได้อย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบมากขึ้น
แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถใช้ในการทำแบบสำรวจที่มีความยาวมากได้ จึงทำให้ได้ข้อมูลที่ต้องการมาไม่ครบถ้วน หรือผู้ตอบคำถามอาจไม่สะดวกใจในการตอบ รวมถึง ตัวผู้สัมภาษณ์เองจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการสัมภาษณ์พอสมควร ถึงจะสามารถใช้น้ำเสียงและโทนเสียงที่น่าเชื่อถือ หรือถามคำถามเพื่อทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่ตรงจุดอย่างที่ต้องการได้
การทำ Social Listening
การทำ Social Listening จะเป็นการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลบนโลกโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, Twitter, TikTok ฯลฯ เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึก (Insight) และรวบรวมข้อมูล (Data) ที่ต้องการได้ โดยมีข้อดี ดังนี้
- ด้านความเร็ว – สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว นำไปใช้ได้ในทันที จึงทันต่อกระแสก่อนคู่แข่งเสมอ
- ด้านขนาด – มีขนาดของตัวอย่างจำนวนมากจากการประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้แบบเรียลไทม์
- ด้านค่าใช้จ่าย – ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในการเก็บข้อมูล รวมถึง ค่าบริหารจัดการต่างๆ ด้วย
ส่วนข้อจำกัดของการใช้ Social Listening จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อคือ
- การที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ว่าข้อมูลทั้งหมดมาจากใคร และไม่สามารถระบุข้อมูลเชิงประชากร (Demographic) เช่น ช่วงอายุ เพศ การศึกษา ฯลฯ แบบรายบุคคลได้
- ข้อมูลความเป็นส่วนตัว (Privacy) ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญบางอย่างได้ เช่น ข้อมูลจาก Facebook Group เป็นต้น
แนะนำเครื่องมือทำการวิจัยตลาด (Market Research Tool)
ทำความเข้าใจวิธีการทำวิจัยตลาดแบบพื้นฐานไปแล้ว มาดูเครื่องมือที่ใช้ในการทำ Market Research กันบ้างดีกว่าว่ามีเครื่องมือใดน่าสนใจบ้าง ดังนี้
Think with Google

Think with Google เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดจาก Google ที่รวบรวมข้อมูล ตัวเลข สถิติ ไอเดียใหม่ คอนเทนต์ที่มีประโยชน์และข้อมูลที่น่าสนใจอย่างผลการวิจัยและข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้งานบน Google เช่น 5 พฤติกรรมของคนไทยที่สนใจเข้าชมเรื่องราวต่างๆ บน YouTube ในช่วง Social Distancing ฯลฯ รวมถึงสามารถใช้ในการสนับสนุนการทำงานของโปรดักต์จาก Google ได้อีกด้วย เครื่องมือนี้จึงเหมาะสำหรับนักการตลาดและคนทำคอนเทนต์ที่ต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจาก Google มาต่อยอดในการทำวิจัยตลาด หรือหาไอเดียสำหรับการทำคอนเทนต์ใหม่ๆ
Make My Persona

Make My Persona เป็นเครื่องมือสำหรับสร้าง Persona จาก HubSpot โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูล เช่น ชื่อ อายุ การศึกษา ฯลฯ มาทำการสร้างเป็น Buyer Persona (การจำลองกลุ่มลูกค้าสมมติ) เพื่อให้การนำเสนอข้อมูล Market Research ในขั้นตอนการกำหนดวัตถุประสงค์การทำการวิจัยตลาดและกำหนดกลุ่มเป้าหมาย โดยสามารถระบุได้ทั้งลักษณะของบุคคลที่จะซื้อสินค้าและบริการ ทั้งพฤติกรรม อายุ ความคิด หรือการตัดสินใจมีความชัดเจนและเห็นภาพได้ชัดมากยิ่งขึ้น
Tableau

Tableau เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการจัดการข้อมูลที่มีจำนวนมากเพื่อทำเป็น Data Visualization และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำแดชบอร์ดรายงานผล เหมาะจะใช้ในขั้นตอนการวิจัยที่ต้องประมวลผลข้อมูลที่จัดเก็บมาเขียนเป็นรายงานให้เข้าใจง่าย
นอกจากนี้ Tableau ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้หลากหลายแหล่งข้อมูล (Data Sources) เช่น Microsoft Excel, Access, Sybase ฯลฯ โดยผู้ใช้งานสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาทำการวิเคราะห์และแสดงผลได้ตามต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง ช่วยให้ทีมการตลาดหรือทีมบริหารสามารถตัดสินใจจากผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาดมากขึ้นอีกด้วย
Paperform
Paperform เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างฟอร์มหรือเซลล์เพจออนไลน์ มีระบบและฟีเจอร์การใช้งานที่สนับสนุนการออกแบบหน้าเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ E-Commerce เป็นอย่างดี จึงเหมาะสำหรับนักการตลาดที่ต้องการสร้างหน้าเว็บไซต์ที่สวยงามในระยะเวลาที่มีจำกัด ต้องการสร้างฟอร์มสำหรับการทำ A/B Testing เพื่อทำ Market Research ในขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมถึง ผู้ที่ต้องการสร้าง Conversion ที่เป็นการกระทำบางอย่างที่ต้องการจากลูกค้า เช่น กรอกฟอร์ม กดสั่งซื้อสินค้า ฯลฯ แต่ต้องการเครื่องมือที่ใช้สร้างฟอร์มหรือเซลล์เพจออนไลน์ที่ใช้งานง่ายและมีดีไซน์สวย
SurveyMonkey

SurveyMonkey เป็นเว็บไซต์สร้างแบบสอบถามออนไลน์ที่ช่วยในการรวบรวมความคิดเห็นจากช่องทางต่างๆ ในขั้นตอนของการเก็บข้อมูลเพื่อนำไปทำวิจัยตลาด โดยสามารถเก็บข้อมูลได้จากหลายช่องทาง เช่น เว็บลิงก์ อีเมล แช็ตบนมือถือ โซเชียลมีเดีย และอื่นๆ พร้อมแปลงข้อมูลให้ง่ายต่อการนำไปตีความข้อมูลต่อ ทำให้การทำแบบสอบถามเพื่อการทำวิจัยตลาดของทีมสำรวจทางการตลาดเป็นเรื่องสะดวกและแม่นยำมากขึ้น
Qualaroo

Qualaroo เป็นเครื่องมือทำแบบสอบถาม สามารถนำมาใช้เพื่อทำ Market Research เพื่อรวบรวมข้อมูลในฝั่งลูกค้าได้ ทั้งสอบถามข้อมูลเพื่อขอฟีดแบค หรือเพื่อขอข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ในขณะที่ลูกค้ากำลังดูผลิตภัณฑ์บริการหรือแบรนด์ผ่านเว็บไซต์ได้โดยตรง ซึ่งเครื่องมือนี้จะช่วยทำให้นักการตลาดเข้าใจในเส้นทางของผู้บริโภค (Customer Journey) มากขึ้น รวมถึง ช่วยเป็นข้อมูลเชิงลึกสำหรับการทำ Market Research ไปจนถึงช่วยในการออกแบบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นของการใช้เว็บไซต์ได้อีกด้วยc
Buzzsumo.com

buzzsumo.com เป็น Content Marketing Platform ที่สามารถใช้ในการค้นหาคอนเทนต์ให้คำค้นหา (Keyword) ที่สนใจ พร้อมมีการบอกเมตริกต่างๆ ที่คนคอนเทนต์ควรทราบเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงานของคอนเทนต์คู่แข่ง เช่น บอกว่าคอนเทนต์ของคู่แข่งมีเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) ในแต่ละโซเชียลมีเดียอย่างไรบ้าง อีกทั้ง ยังสามารถจัดเรียงคอนเทนต์เหล่านั้น ตามลำดับเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) ต่างๆ ได้ จึงช่วยให้นักการตลาดใช้เป็นข้อมูลในการทำ Marketing Communication เพิ่มเติมได้ในอนาคต และยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการทำวิจัยการตลาดได้อีกด้วย
ZOCIAL EYE

ZOCIAL EYE เป็น Social Listening Tool จาก Wisesight ใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทำให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีอยู่จำนวนมหาศาลได้อย่างสะดวกและรวดเร็วจากการเพิ่มคำค้นหา (Keyword) ที่เกี่ยวข้อง และดูข้อมูลสรุปจากการอ่านกราฟ หรือดูภาพรวมจากตัวเลขสถิติต่างๆ ที่สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อเพื่อทำ Market Research จากเสียงของผู้บริโภค วางกลยุทธ์การตลาดให้เหนือคู่แข่ง ไปจนถึงใช้หาข้อมูลเชิงลึกและเทรนด์ของธุรกิจได้ว่า เทรนด์ของธุรกิจในช่วงเวลาที่ต้องการเป็นอย่างไร มีช่วงไหนบ้างที่ผู้บริโภคพูดธุรกิจนั้นๆ และเทรนด์ในตอนนี้กำลังเป็นกระแสหรือไม่
ทำให้ ZOCIAL EYE เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้ข้อมูลในการพัฒนาองค์การและสินค้า-บริการให้ดีขึ้นแบบเท่าทันต่อกระแสที่ได้รับจากผู้บริโภคซึ่งอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดีย และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามได้ทันท่วงที
สรุป
จะเห็นว่า การวิจัยตลาด (Market Research) สามารถแยกย่อยได้มากมายหลายรูปแบบ ดังนั้น หากต้องการทำ Marketing Research ที่มีประสิทธิภาพก็ต้องถามตัวเองเสมอว่า มีเป้าหมายทางการตลาดอย่างไร เพื่อที่จะได้เลือกใช้วิธีการทำ Market Research ที่เหมาะสม หรือถ้าหากธุรกิจกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน และมีโจทย์ที่ไม่ได้ตรงไปตรงการ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำวิจัยการตลาดก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการใช้วิธีวิจัยตลาดที่ผิดทางไปได้ รวมถึง การเลือกเครื่องมือการวิจัยตลาดที่ดีก็เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้ธุรกิจได้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและรวดเร็วมากขึ้นด้วย