ทุกวันนี้ ‘คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย’ คือ เครื่องมือที่แบรนด์ใช้ในการสื่อสารตัวตนและผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก สร้างความไว้วางใจ จนเกิดการตัดสินใจซื้อ รวมไปถึงการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ในระยะยาว

แต่หากคอนเทนต์ที่ถูกปล่อยไปสู่สายตาผู้บริโภคอยู่ทุกวัน ไม่ได้ผ่านการวางแผนมาก่อน ก็คงยากที่คอนเทนต์ทั้งหมดนั้นจะพาแบรนด์ไปในทิศทางเดียวกันจนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ การทำ Content Strategy จึงเป็นกระบวนการสำคัญที่นักการตลาดจะมองข้ามไปไม่ได้ เพื่อให้ทุก ๆ คอนเทนต์ทำงานร่วมกันได้อย่างดีที่สุด 

บทความนี้ Wisesight Research ขอพาทุกคนมารู้จักกับ Content Strategy ให้ดียิ่งขึ้น ว่าเราจะมีวิธีการและเทคนิคอย่างไรที่จะทำให้แบรนด์สื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะวัดผลลัพธ์การทำคอนเทนต์ได้อย่างไร รวมถึงพาไปดูตัวอย่างกรณีจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่ใช้โซเชียลมีเดียสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างน่าสนใจโดยวัดจากเมตริก (Metrics) ที่เหมาะสม ซึ่งคำนวณและสรุปมาให้เห็นจากเล่มรีพอร์ตที่ทีม Wisesight Research เป็นผู้จัดทำ 

Content Strategy คืออะไร? 

Content Strategy คือ การวางแผนกลยุทธ์สำหรับเนื้อหาต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียอย่างมีแบบแผน ทำให้คอนเทนต์ทุกชิ้นมีการสื่อสารอย่างเป็นภาพรวม ไม่สะเปะสะปะ และตอบโจทย์ผู้บริโภคไปพร้อม ๆ กับพาแบรนด์ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ 

ซึ่ง Content Strategy สามารถนำมาใช้ได้กับเนื้อหาทุกรูปแบบ ไม่ว่าเป็นโพสต์ที่เน้นตัวอักษร โพสต์รูปภาพ บทความ วิดีโอ พอดแคสต์ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคุ้นเคยกับโซเชียลมีเดียช่องทางไหน และสิ่งที่เราอยากสื่อสารกับพวกเขาเหมาะกับสื่อรูปแบบไหน

5 ขั้นตอนการสร้าง Content Strategy

สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะวาง Content Strategy อย่างไร แนะนำให้เริ่มต้นจาก 5 ขั้นตอน ดังนี้

1. กำหนดเป้าหมาย

เริ่มต้นกันด้วยการตั้งเส้นชัยที่เราอยากให้คอนเทนต์ทุกชิ้นพาแบรนด์ไปถึงจุดนั้นได้ ซึ่งแบรนด์อาจจะมีเป้าหมายใหญ่ที่กำหนดมาเป็นภาพกว้าง ๆ แล้ว อย่างเช่น เราจะต้องทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมากขึ้น

แต่เป้าหมายสำหรับ Content Strategy ควรจะต้องเจาะจงและชัดเจน เพื่อให้สุดท้ายแล้วเราสามารถประเมินได้ว่าคอนเทนต์ของเราประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง และมีจุดไหนที่เรายังสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นอีกได้ โดยการตั้ง Benchmark ที่มีการเปรียบเทียบกับ Performance ในอดีตของแบรนด์เราเอง หรือ Performance ปัจจุบันของแบรนด์คู่แข่งในตลาด

ตัวอย่างเป้าหมายสำหรับ Content Strategy เช่น 

  • คอนเทนต์ของเรามียอดการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่เติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน
  • คอนเทนต์ของเราทำให้แบรนด์ได้รับการพูดถึงบนโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น 10% นับจากช่วง 6 เดือนก่อน
  • วิดีโอสั้นบน TikTok เกี่ยวกับความรู้ในชีวิตประจำวันมียอด Share มากกว่า 50 Share ต่อวิดีโอ
  • โพสต์กิจกรรมแจกของรางวัลมีผู้ชมมาแสดงความคิดเห็น (Comment) ร่วมสนุกกับแบรนด์มากกว่า 100 คอมเมนต์

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า รูปแบบและหัวข้อของคอนเทนต์ที่แตกต่างกันก็มี Benchmark ที่แตกต่างกันออกไปด้วย เพราะธรรมชาติของผู้ชมในแต่ละโซเชียลมีเดียต่างก็มีพฤติกรรมการตอบโต้กับคอนเทนต์ที่หลากหลาย แต่เป้าหมายเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอ เมื่อเราได้สังเกตเห็นพฤติกรรมเหล่านั้นและประเมินถึงศักยภาพของคอนเทนต์ในขั้นตอนสุดท้าย

2. ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience)

ขั้นตอนต่อมาคือ การทำความเข้าใจผู้รับสารหรือผู้ชมคอนเทนต์ของเรา กว่าที่เราจะเปลี่ยน ‘คนแปลกหน้า (Visitor)’ ให้กลายมาเป็น ‘คนที่รักแบรนด์ (Customer Loyalty)’ ได้ เราก็ต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างดีก่อนว่าเขาชอบอะไร กำลังมองหาอะไร แล้วเราควรจะเข้าหาด้วยวิธีไหนที่จะทำให้เขาอยากติดตามเราต่อไปเรื่อย ๆ

ในภาพใหญ่ของแบรนด์อาจจะมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายมาแล้วในแง่ของลักษณะเชิงประชากรศาสตร์ (Demographic) และพฤติกรรมการบริโภค (Consumption Behavior) แต่เพื่อให้คอนเทนต์มีตรงใจกลุ่มเป้าหมายที่สุด เราสามารถศึกษาลงไปลึกไปถึง…

  • ปัญหา (Pain Point) : สิ่งที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่สบายใจหรือปัญหาที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน
    เช่น ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมองหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาคุ้มค่า เป็นต้น
  • ความคาดหวัง (Expectation) : ความคาดหวังที่เขามีต่อสินค้า บริการ แบรนด์ หรือสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
    เช่น กลุ่มเป้าหมายคาดหวังให้แบรนด์ออกสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อน เป็นต้น
  • คุณค่า (Value) : การให้คุณค่ากับสินค้า บริการ แบรนด์ หรือแนวคิดบางอย่าง
    เช่น กลุ่มเป้าหมายชื่นชมแบรนด์ที่มีสวัสดิการสนับสนุนความหลากหลายทางเพศให้แก่พนักงาน เป็นต้น
  • ความชื่นชอบในการรับสื่อ (Media Preference) ความชื่นชอบ ความคุ้นเคย หรือรสนิยมในการเลือกรับสื่อและคอนเทนต์ เช่น กลุ่มเป้าหมายชอบดูและกดไลก์ (Like) โพสต์ภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามบนช่องทาง Instagram เพราะกำลังหาแรงบันดาลใจในการไปเที่ยวในช่วงวันหยุด เป็นต้น
  • หัวข้อของความสนใจในปัจจุบัน (Current Topic of Interest) : หัวข้อ ประเด็น หรือเทรนด์ที่กำลังเป็นที่สนใจ เช่น กลุ่มเป้าหมายกำลังให้ความสนใจกับความน่ารักของน้องเอวา เสือโคร่งแห่งเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ไปจนถึงมุกตลกหรือคำศัพท์เฉพาะที่กลุ่มเป้าหมายชอบใช้กัน เช่น ศัพท์จากกลุ่ม LGBTQ+, ศัพท์จากแฟนด้อมต่าง ๆ เป็นต้น

การทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมายในแง่มุมเหล่านี้จะช่วยให้การออกแบบเนื้อหา รูปแบบ และเทคนิคการสื่อสารต่าง ๆ ออกมาได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างคอนเทนต์ที่ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ดีมาจากเพจ AIS Play ที่ชูประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัวจากภาพยนตร์เรื่อง “หลานม่า” มาใช้โปรโมตภาพยนตร์ที่เข้าฉายบนแพลตฟอร์ม 

ความสัมพันธ์ที่ทั้งหวานทั้งขมของครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคนที่แต่ละคนได้รับการปฏิบัติจากแม่ไม่เหมือนกัน ซึ่งตรงกับประสบการณ์ที่ฝังอยู่ในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าพวกเขาจะเคยชมภาพยนตร์ “หลานม่า” มาก่อนหรือไม่ ส่งผลให้โพสต์นี้ได้รับคอมเมนต์ (Comment) ไปกว่า 2,600 ข้อความ และเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ของทางเพจที่ได้รับคอมเมนต์สูงที่สุดในปีนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567)

ตัวอย่างการวาง Content Strategy จากหลานม่า

https://www.facebook.com/share/p/ecbrzMb5DeGao4xY/ 

3. ออกแบบคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์

มาถึงขั้นตอนที่เราจะได้หาไอเดียในการทำคอนเทนต์ และสร้างคอนเทนต์กันแล้ว ซึ่งเราจะต้องออกแบบองค์ประกอบต่าง ๆ ของคอนเทนต์ให้สัมพันธ์ไปกับสิ่งที่เรากำหนดไว้ในสองข้อก่อนหน้า โดยองค์ประกอบหลักของคอนเทนต์ที่เราจะต้องคำนึงถึง ได้แก่

  1. หัวข้อหรือประเด็น (Topics)​ ที่จะนำเสนอในคอนเทนต์ เป็นการผสมระหว่างสิ่งที่แบรนด์อยากบอกกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายอยากได้ยินให้ลงตัว
  2. ช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media Channel) โดยพิจารณาจาก Media Preference ของกลุ่มเป้าหมายในขั้นตอนก่อนหน้า เลือกให้คอนเทนต์ของเราไปอยู่ในช่องทางที่เขาคุ้นเคยหรือใช้อยู่เป็นประจำ
  3. รูปแบบเนื้อหา (Content Format) โดยต้องพิจารณาจากทั้ง Media Preference และเนื้อหาที่เราจะนำเสนอว่าเหมาะกับการเล่าผ่านรูปแบบใดที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถรับชมและเข้าใจได้ง่าย จนนำไปสู่การตอบรับในแบบที่เราคาดหวังไว้ อย่างเนื้อหาเกี่ยวกับโปรโมชันลดราคาจะเหมาะกับการใช้ภาพกราฟิกที่เห็นตัวเลขราคาและสินค้าอย่างชัดเจน จะดึงดูดความสนใจผู้บริโภคได้ดี ในขณะที่เนื้อหาที่มีรายละเอียดมาก จะเหมาะกับรูปแบบวิดีโอที่เล่าข้อมูลผ่านภาพประกอบและเสียงบรรยายให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
  4. ข้อความ Call to Action หรือข้อความกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายกระทำบางอย่างหลังจากชมคอนเทนต์ของเราแล้ว เช่น โพสต์บน Facebook มักจะมีการเชิญชวนให้ผู้ชมมาคอมเมนต์ เพื่อแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง วิดีโอบน YouTube ที่พิธีกรมักจะมีการย้ำให้ผู้ชมกด Like, Share, Subscribe อยู่เสมอ ซึ่งข้อความเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรหรือเสียงบอก ก็มีบทบาทสำคัญมากที่จะทำให้ผู้ชมรู้ต้องทำอะไรก่อนที่จะเลื่อนผ่านคอนเทนต์ของเราไป

ตัวอย่างที่เลือกใช้ภาพประกอบคอนเทนต์และ Call to Action ได้อย่างชาญฉลาด มาจากแคมเปญ “สิทธิ์พิเศษให้กับนักเรียน-นักศึกษา ทั่วประเทศ! ปูอัดทอด 1 แถม 1” โดย Potato Corner 

Content Strategy ตัวอย่างจาก patato conner

https://www.facebook.com/share/p/Rpd5MeTkBAawXena

คนไทยคุ้นเคยกับโปรโมชันสำหรับนักเรียน-นักศึกษากันอยู่แล้ว แต่ Potato Corner ได้โปรโมตแคมเปญนี้ผ่านโพสต์บน Facebook โดยใช้คำว่าสิทธิพิเศษเพื่อสร้างความรู้สึกพิเศษเฉพาะกลุ่ม (Sense of Exclusivity) แก่กลุ่มเป้าหมายและ Call to Action โดยให้น้อง ๆ ตามหาชื่อสถานศึกษาของตัวเอง แต่เนื่องจากตัวอักษรในรูปภาพที่มีจำนวนมากและขนาดเล็กจนมองหายาก จึงต้องคอมเมนต์ เพื่อถามแอดมิน จนทำให้โพสต์นี้ได้รับคอมเมนต์ไปราว 230 ข้อความ ถือว่าเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ของทางแบรนด์ที่ได้รับคอมเมนต์สูงที่สุดในปี 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567) โดยส่วนใหญ่เป็นคอมเมนต์ที่ผู้บริโภคเข้ามาหาคำตอบของแคมเปญนี้และพูดคุยกับแบรนด์จริง ๆ

  1. อารมณ์และน้ำเสียง (Mood & Tone) หรือเรียกได้ว่า เป็นการวางตัวหรือภาพลักษณ์ของแบรนด์ (ฺBrand Personality & Brand Image) ที่อยากให้ผู้บริโภคจดจำเราไปตลอด ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านระดับภาษา คำที่เลือกใช้ รวมไปถึง Art Direction ที่อยู่ในภาพและวิดีโอ

ยกตัวอย่าง KFC Thailand ที่แบรนด์วาง Character ให้เข้าถึงง่าย มีอารมณ์ขัน ก็เลือกทำวิดีโอมียอดฮิตบน TikTok ให้น้องไก่แปลงร่างเป็นไก่ทอด จนสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้คนบนโซเชียล ได้รับจำนวนการมีส่วนร่วม (Engagement) ไปกว่า 1,480,000 ครั้ง และกลายมาเป็นหนึ่งในวิดีโอที่ทางแบรนด์ได้รับยอด Engagement สูงสุดบน TikTok ในปีนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน) 

  1. ช่วงเวลาและโอกาส (Occasion) เป็นโอกาสที่แบรนด์จะได้หยิบเอาประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจของผู้คน มาเป็นหัวข้อของคอนเทนต์ และสร้าง Engagement ให้สูงขึ้นได้ เช่น คอนเทนต์ที่เหมาะสำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ คือ คอนเทนต์เกี่ยวกับการเลือกซื้อของขวัญ กิจกรรมที่ครอบครัวและคนรักจะได้ใช้เวลาร่วมกัน

เช่นเดียวกันกับการทำ Real-time Content ที่หากแบรนด์เลือกหยิบหัวข้อที่กำลังมีกระแสไวรัล (Viral) มาทำคอนเทนต์ โดยเลือกหัวข้อเหล่านั้นให้เหมาะสมกับบริบทของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย ก็เป็นโอกาสที่จะพาให้แบรนด์ได้รับการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และ Performance ได้ดีทีเดียว

ยกตัวอย่างคอนเทนต์ “ถ้าหมูเด้งไปโผล่ในซีรีส์ Netflix จะเป็นยังไงนะ” โดย Netflix ที่ตัดต่อภาพของ “หมูเด้ง” ลูกฮิปโปแคระจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียวที่เป็นไวรัลไปทั่วโลก เข้าไปอยู่ในฉากต่าง ๆ ในซีรีส์ ทำให้ทั้งแฟนซีรีส์และคนทั่วไปที่อาจจะยังไม่เคยรับชมแต่กำลังเอ็นดูความน่ารักของเจ้าหมูเด้ง ก็ต้องแวะเข้ามามีส่วนร่วมกับโพสต์นี้สักหน่อย ซึ่งโพสต์นี้ได้รับจำนวนการมีส่วนร่วม (Engagement) รวมไปราว 23,000 ครั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567) 

ตังอย่างการใช้ไวรัลหมูเด้งในการทำคอนเทนต์

 https://www.facebook.com/share/p/YsRcLZWagnRVnPn8/

4. วางแผนการผลิตและการปล่อยคอนเทนต์

วันและเวลาในการปล่อยคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกับประสิทธิภาพของคอนเทนต์ ตามที่ได้กล่าวไปในข้อช่วงเวลาและโอกาส (Occasion) ในขั้นตอนก่อนหน้า การวางแผนให้ทีมงานสร้างสรรค์ผลงานแต่ละชิ้นได้อย่างมีคุณภาพและตรงตามเวลาที่กำหนดจึงต้องอาศัยการบริหารงานที่ดีและการสื่อสารให้ทีมเข้าใจตรงกัน

การใช้ Content Calendar หรือตารางปฏิทินสำหรับวางแผนการผลิตและปล่อยคอนเทนต์ก็จะช่วยให้ทีมงานสามารถจัดสรรเวลาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น

Social Media Content Calendar

ตัวอย่าง Social Media Content Calendar จาก smartsheet.com

5. ประเมินผลและประสิทธิภาพคอนเทนต์

เมื่อดำเนินงานไปตามแผนที่วางไว้แล้ว การประเมินคุณภาพของคอนเทนต์ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้เราได้รู้ว่ามีจุดไหนที่จะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการทำงานของแบรนด์ หรือจุดไหนที่จะพัฒนาคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นอีกบ้าง 

ในเบื้องต้นเราสามารถสังเกตผลตอบรับจากผู้บริโภคในช่วงหลังจากที่เพิ่งปล่อยคอนเทนต์ไปไม่นาน เช่น พวกเขามีแนวโน้มว่าจะชื่นชอบคอนเทนต์แบบไหน ดูจากยอด Engagement ต่าง ๆ หรือพวกเขา Comment ตอบโต้กับแบรนด์ว่าอย่างไร ผลตอบรับเหล่านี้เป็นจะช่วยให้เราพอปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของคอนเทนต์ในระหว่างทางได้

ส่วนการวัดผลในเชิงลึก เราจะมาสรุปผลของคอนเทนต์ทั้งหมดในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยกำหนดได้ว่าจะเป็นหลักสัปดาห์ เดือน ไตรมาส หรือปี ให้เหมาะสมกับแผนการทำงานของเรา โดยสิ่งที่เราสามารถนำมาประเมินควบคู่ไปกับ Benchmark ที่เราตั้งไว้ในขั้นตอนแรกคือ

  1. ค่า Social Media Performance ต่าง ๆ เช่น การมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ (Engagement) อย่างค่า Like, Comment, Share ซึ่งเรายังสามารถเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ ในแกนต่อไปนี้ได้
    1.  เปรียบเทียบระหว่าง Performance ปัจจุบันกับอดีต ว่ามีการเติบโตขึ้นหรือถดถอยลง เพื่อที่จะประเมินแนวโน้มต่าง ๆ และปรับคอนเทนต์ให้เข้ากับสถานการณ์ได้
    2.  เปรียบเทียบระหว่าง Performance ของแบรนด์เรากับคู่แข่งในช่วงเวลาเดียวกัน โดยนอกจากเปรียบเทียบในเชิงตัวเลขแล้ว ยังศึกษาไปถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ของคอนเทนต์ และกลวิธี (Tactics) ที่คู่แข่งใช้เพื่อดึงดูดผู้บริโภคได้อีกด้วย
ตัวอย่างการประเมิน Social Media Performance จาก Brand Analysis Report ของ Wisesight Research

ตัวอย่างการประเมิน Social Media Performance จาก Brand Analysis Report ของ Wisesight Research

  1. จัดกลุ่มคอนเทนต์ตามประสิทธิภาพ เป็นกลุ่ม Great, Good, General และ Low-performed โดยแบ่งจากค่าเปอร์เซ็นไทล์ (Percentile) ที่ 90, 70, 50 ของค่า Engagement ของคอนเทนต์ทั้งหมดจากแบรนด์ในอุตสาหกรรม เมื่อจัดกลุ่มแล้วก็จะทำให้เราเห็นภาพได้ว่าคอนเทนต์ที่มีคุณภาพดีกับที่ยังไม่ดีมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร และเอาบทเรียนจากการจัดกลุ่มนี้ไปพัฒนาต่อ ซึ่ง Wisesight ที่เก็บรวบรวมข้อมูลบนโซเชียลมีเดียครอบคลุมกว่า 2,500 แบรนด์ ในมากกว่า 30 อุตสาหกรรม จะช่วยให้การวัดประสิทธิภาพแม่นยำยิ่งขึ้น 
ตัวอย่างการประเมินประสิทธิภาพของคอนเทนต์ จาก Content Analysis Report ของ Wisesight Research

ตัวอย่างการประเมินประสิทธิภาพของคอนเทนต์ จาก Content Analysis Report ของ Wisesight Research

  1. การพูดถึงหรือความคิดเห็นที่ผู้บริโภคมีต่อคอนเทนต์หรือแบรนด์ (Consumer Feedback) ซึ่งการประเมินลักษณะนี้จะเหมาะกับคอนเทนต์ที่มีเป้าหมายเพื่อทำให้สินค้า บริการ หรือแบรนด์เป็นที่รู้จักหรือจดจำมากขึ้น เป็นการหาคำตอบว่าสุดท้ายแล้ว คอนเทนต์ได้ช่วยให้ผู้บริโภคมีทัศนคติไปในทิศทางไหน มีปัญหาไหนที่แบรนด์ควรเร่งแก้ไขก่อน หรือมีจุดเด่นไหนที่ผู้บริโภคชื่นชอบ เป็นโอกาสที่แบรนด์จะหยิบมาสื่อสารต่อไปได้
ตัวอย่างการประเมิน Consumer จาก Brand Analysis Report ของ Wisesight Research

ตัวอย่างการประเมิน Consumer จาก Brand Analysis Report ของ Wisesight Research

การประเมินในมิติเหล่านี้ Brand Analysis Report ของทาง Wisesight Research สามารถเข้ามาช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งของแบรนด์เราและคู่แข่ง รวมทั้งให้คำแนะนำ (Recommendation) หรือแนวทางให้แบรนด์ไปปรับใช้กับแผนในอนาคตได้อีกด้วย ซึ่งคำแนะนำที่ Wisesight นำเสนอให้แก่แบรนด์นั้นมีหลากหลายประเด็น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของทางแบรนด์ในการสื่อสารบนโซเชียลมี่เดีย ยกตัวอย่างเช่น

  • ความสนใจ พฤติกรรม ประสบการณ์ของกลุ่มเป้าหมาย (Consumer Insight) ที่นำมาปรับใช้กับการทำคอนเทนต์ได้
  • เทรนด์หรือแนวโน้มของหัวข้อที่กำลังเป็นที่สนใจบนโซเชียลมีเดีย (Current Trend)
  • กลวิธี (Tactics) ที่น่าสนใจจากคอนเทนต์ที่มี Performance สูงทั้งจากแบรนด์คู่แข่งหรือแบรนด์ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
  • องค์ประกอบของคอนเทนต์ที่สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างน่าสนใจ เช่น สไตล์การออกแบบภาพ ถ้อยคำที่เลือกใช้ อินฟลูเอนเซอร์หรือบุคคลตัวแทนของแบรนด์ (Spokesperson) ที่เหมาะสมกับคอนเทนต์

ซึ่งเห็นได้ว่าล้วนแต่เป็นประเด็นที่มาสนับสนุนให้การทำ Content Strategy แข็งแรงขึ้นได้ 

ตัวอย่างหน้าคำแนะนำในการทำคอนเทนต์ (Recommendation)

ตัวอย่างหน้าคำแนะนำในการทำคอนเทนต์ (Recommendation)

สรุป

Content Strategy คือ การวางแผนกลยุทธ์สำหรับคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียอย่างมีแบบแผน ให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่แบรนด์อยากส่งไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย และเข้ากับธรรมชาติของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำพาแบรนด์ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อการทำ Content Marketing ที่มีประสิทธิภาพ

Content Strategy ควรจะถูกวางแผนอย่างรอบด้าน เริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ ทำความเข้าใจกลุ่มผู้ชมเป้าหมายในสิ่งที่เขาคาดหวัง ให้คุณค่า และพฤติกรรมบนโซเชียลมีเดียแต่ละช่องทาง เพื่อให้การออกแบบองค์ประกอบของคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ และเมื่อทีมผู้ผลิตคอนเทนต์ทำงานร่วมกัน จะต้องมีการบริหารงานและการประเมิน เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ของเราให้ดียิ่งขึ้นไป

ซึ่ง Wisesight Research สามารถเข้ามาเป็นตัวช่วยให้แก่นักการตลาดและ Content Creator ในการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและ Landscape ของโซเชียลมีเดียในแต่ละอุตสาหกรรมได้ พร้อมทั้งวัดผล Performance เพื่อหาโอกาสหรือแนวทางใหม่ ๆ ในการทำคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยทีมนักวิเคราะห์ข้อมูลของ Wisesight ที่คุ้นเคยกับลักษณะของผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยเป็นอย่างดี

ผู้เขียน

Pornprueksa Arsaithamkul จากทีม Wisesight Research