มีอยู่สองเวลาที่เราจะถูกถามหา Benchmarking คือ 1) เมื่อต้องวางกลยุทธ์ ซึ่งหัวหน้าทีมหรือผู้บริหารมักจะถามว่า แล้วคู่แข่งทำอะไร ทำได้ผลลัพธ์เท่าไร เพื่อคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ที่เราควรทำได้ และ 2) เมื่อต้องทำรายงานหรือประเมินผลลัพธ์ของแคมเปญที่ลงทุนลงแรงไป เพื่อดูว่า ตัวเลขที่ได้ดีพอและเหมาะสมแล้วหรือยัง เมื่อเทียบกับคู่แข่ง

ทำไม Benchmark ถึงมีความสำคัญขนาดนั้น? …ทำไมผู้บริหาร, ผู้จัดการการตลาด หรือนักวางกลยุทธ์การตลาด ต้องถามถึง Benchmark ทุกครั้งเมื่อจะวางกลยุทธ์หรือประเมินผล

ในบทความนี้ เราจึงจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเครื่องมือที่เรียกว่า Benchmarking ที่จะช่วยให้คุณทำธุรกิจและการตลาดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกัน

Benchmarking คืออะไร 

Benchmarking หรือการทำ Benchmark คือ กระบวนการเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ๆ เพื่อดูว่า เรากับคนอื่นทำได้ดีมากหรือน้อย แตกต่างกันแค่ไหน ซึ่ง Benchmark มักจะถูกใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานหรือค่าที่ควรจะต้องทำให้ได้ 

Benchmarking คืออะไร

จุดประสงค์ของการทำ Benchmarking คือ เพื่อทำความเข้าใจตัวเราหรือธุรกิจของเรามากขึ้นว่าเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือตลาด ใช้เพื่อที่จะหาโอกาสหรือช่องว่างในการพัฒนาตัวเอง แผน หรือธุรกิจเพื่อเติมเต็มช่องว่างนั้น รวมถึงใช้วิเคราะห์ว่า เรามีความสามารถในการแข่งขันเพียงพอหรือไม่ในการเอาชนะคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ยกตัวอย่างการทำ Benchmarking ง่าย ๆ เช่น เราต้องการทราบว่า ร้านกาแฟของเราควรมีลูกค้าเข้าร้านจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งนอกจากเราจะคิดคำนวณจากต้นทุน-กำไรที่ควรจะเป็นแล้ว เราคงอยากรู้ว่า แล้วร้านอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน เขามีลูกค้าเข้าร้านกี่คนต่อวัน นี่คือ จุดที่เราจะมาหา Benchmark กัน 

สมมติว่า ร้านกาแฟของเรามีลูกค้าเข้าร้านเฉลี่ยวันละ 50 คน ต่อวัน หากอยากทราบว่า ร้านกาแฟร้านอื่นในละแวกเดียวกันมีคนเข้าร้านเฉลี่ยกี่คน เราก็อาจหาจำนวนลูกค้าเฉลี่ยของแต่ละร้านมาคำนวณและตั้งเป็น Benchmark ได้ 

ยกตัวอย่างเช่น หาก Benchmark คือ 40 คนต่อวัน แสดงว่า ร้านของเราทำได้ดีมากกว่าร้านอื่นในละแวกเดียวกัน แต่ในทางกลับกัน หาก Benchmark คือ 70 นั่นก็หมายความว่า จริง ๆ แล้วร้านเรา สามารถทำได้มากกว่านี้เพื่อเอาชนะร้านคู่แข่ง ซึ่งการวิเคราะห์ Benchmark เช่นนี้จะนำไปสู่การศึกษาคู่แข่งหรือพัฒนากลยุทธ์ของร้านต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ การทำ Benchmarking ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแง่มุมของประสิทธิภาพหรือ “Performance Benchmark” เท่านั้น ในทางปฏิบัติ เรายังสามารถทำ Benchmarking ในแง่มุมอื่น ๆ ได้ ขึ้นอยู่กับ คำตอบหรือแง่มุมที่เราอยากรู้ด้วยเช่นกัน 

การทำ Benchmarking มีกี่ประเภท 

ประเภทของการทำ Benchmarking เราจะแบ่งตามประเด็นหรือเรื่องที่เราจะนำมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งประเภทหลัก ๆ ของ Benchmarking จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

  1. Performance Benchmarketing หรือการเปรียบเทียบประสิทธิภาพ
  2. Process Benchmarking หรือการเปรียบเทียบกระบวนการ
  3. Product Benchmarking หรือการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์
  4. Strategy Benchmarking หรือการเปรียบเทียบกลยุทธ์

1. การเปรียบเทียบประสิทธิภาพ (Performance Benchmarking)

Performance Benchmarking คือ การเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการดำเนินงานหรือประสิทธิภาพของเราว่าเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับองค์กรอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งหรือคนอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมก็ได้ อย่างกรณียอดเฉลี่ยลูกค้าร้านกาแฟที่ยกตัวอย่างไป ก็เรียกได้ว่าเป็น “Performance Benchmarking” เช่นเดียวกัน เพราะเปรียบเทียบในมุมของผลลัพธ์การดำเนินงานของร้าน 

ยกตัวอย่างการทำ Benchmarking ด้านการตลาดเช่น ยอดการมีส่วนร่วมโดยเฉลี่ย (Avg. Engagement) ทั้งเดือนของแบรนด์คู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทำได้ 150,000 ต่อเดือน เราก็สามารถตั้งยอดนี้เป็น Benchmark ได้ เพื่อดูว่า จริง ๆ แล้วเราสามารถทำได้มากเท่านี้ หรือเพื่อประเมินว่า เรากับคู่แข่งทำผลลัพธ์/ประสิทธิภาพได้แตกต่างกันแค่ไหน

เปรียบเทียบ Brand Performance กับเส้น Benchmarking ของคู่แข่งในอุตสาหกรรม บน Social Metric

ตัวอย่าง Brand Performance Benchmarking จาก Social Metric

ถ้าต้องการเปรียบเทียการทำ Benchmarking ในมุมมองที่กว้างขึ้น อย่างเช่น ในระดับของการทำ Branding หากอยากรู้ว่าแบรนด์ของเราทำผลลัพธ์ได้ดีแค่ไหน ก็สามารถหา Brand Performance ได้จากแพลตฟอร์ม Social Metric ซึ่งจะช่วยประเมิน “ค่าพลังของแบรนด์” (Brand Score) ออกมาว่า ได้คะแนนเท่าไร โดยคำนวณประสิทธิภาพเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการตีคะแนนที่อ้างอิงจากการทำ Benchmarking ประสิทธิภาพของแบรนด์อื่น ๆ

นอกจากนี้ ยังมีกราฟที่แสดงเส้น Benchmark ที่เป็นยอดเฉลี่ยการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ หรือ Avg. Industry Engagement ของแบรนด์อื่น ๆ ให้อีกด้วย โดยเปรียบเทียบกับเส้นกราฟประสิทธิภาพของแบรนด์ของเรา ทำให้เห็นช่องว่างระหว่างเรากับ Benchmark ได้อย่างชัดเจน ซึ่งวิธีการดูเส้น Benchmark นี้ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เปิดดูแดชบอร์ด (Dashboard) ของ Social Metric นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ส่องประสิทธิภาพของแบรนด์คู่แข่งแบบเจาะจงได้อีกด้วย

2. การเปรียบเทียบกระบวนการ (Process Benchmarking)

Process Benchmarking คือ การเปรียบเทียบกระบวนการหรือวิธีทำงานขององค์กรเรากับคู่แข่งหรือคนอื่น ๆ เพื่อเรียนรู้ว่า ที่เราทำมาทำได้ดีแล้วหรือยัง รวมถึงมี “Best Practice” หรือวิธีการทำงานวิธีอื่นที่ดีกว่าอยู่หรือไม่ เพื่อที่เราจะนำมาปรับใช้กับการทำงานของเรา 

ยกตัวอย่างเช่น องค์กรเรามีกระบวนการในการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ 100,000 หน่วย โดยใช้ขั้นตอนทั้งหมด 10 ขั้นตอน เมื่อศึกษากระบวนการขององค์กรอื่น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เท่ากัน องค์กรอื่นใช้ขั้นตอนเพียง 5 ขั้นตอนเท่านั้น เราก็สามารถศึกษาและนำมาปรับปรุงกระบวนการทำงานของเราได้ให้ดีเทียบเท่าหรือดีกว่าองค์กรอื่นได้ 

หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมในการทำ Process Performance คือ การเปรียบเทียบต้นทุน สมมติว่า เราทำธุรกิจขนส่งพัสดุ และต้องการทราบว่า ต้นทุนที่เราใช้เหมาะสมแล้วหรือสามารถปรับปรุงในดีขึ้นได้อีกแค่ไหน เราก็หา Benchmark ต้นทุนการขนส่งจากคู่แข่งสำคัญในอุตสาหกรรม ว่าธุรกิจใดใช้ต้นทุนได้น้อยที่สุด ซึ่งเราสามารถตั้งต้นทุนที่น้อยที่สุดนั้นเป็น Benchmark ได้ และศึกษาว่าธุรกิจเจ้านั้นมีกระบวนการทำงานและการบริหารการขนส่งเป็นอย่างไร จึงสามารถควบคุมต้นทุนให้ต่ำได้ขนาดนั้น 

นอกจากการหา Process Benchmark ของธุรกิจหรือองค์กรในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว บางองค์กรยังทำ Process Banchmarking กับธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นอีกด้วย เรียกว่า “การทำ Benchmarking แบบข้ามห้วย” (หรือ “ข้ามธุรกิจ”) ซึ่งอาจช่วยขยายโลกทัศน์ในการทำงานหรือค้นพบวิธีการทำงานใหม่ ๆ ที่ดีกว่าได้

3. การเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ (Product Benchmarking)

Product Benchmarking คือ การเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ของเรากับธุรกิจเจ้าอื่น ว่ามีคุณสมบัติแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงการเปรียบเทียบความพึงพอใจของลูกค้าระหว่างผลิตภัณฑ์หรือบริการ (Customer Satisfaction Benchmarking) ของเราและของคู่แข่งหรือแบรนด์อื่น ๆ 

สิ่งนี้จะทำให้เรารู้ว่า จริง ๆ แล้วลูกค้าชื่นชอบหรือพึงพอใจกับคุณลักษณะ (Benefits) ใดของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ยกตัวอย่างการทำ Product Benchmarking เช่น ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมของเรา เมื่อเทียบกับเจ้าอื่น ๆ ในตลาด ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจมากแค่ไหน หากรั้งท้ายคู่แข่งหรือเจ้าอื่น ๆ อยู่ ก็สามารถทำ Product Benchmarking ต่อไปได้อีกว่า ฟีเจอร์ใดที่ผู้ใช้งานชื่นชอบหรือต้องการมากที่สุด เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ของเราให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานมากขึ้น

โดยส่วนใหญ่แล้ว การทำ Product Benchmarking จะนิยมทำในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันด้านผลิตภัณฑ์มากกว่าการแข่งขันกันทางด้านการตลาดและภาพลักษณ์แบรนด์ เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยานยนต์ ซอฟต์แวร์ หรือบริการที่มีการแข่งขันสูง

4. การเปรียบเทียบกลยุทธ์ (Strategy Benchmarking)

Strategy Benchmarking คือ การเปรียบเทียบกลยุทธ์ที่เราใช้กับกลยุทธ์ที่ผู้อื่นใช้ ยกตัวอย่างที่น่าจะช่วยให้เห็นภาพได้ชัดเจน คือ การทำ Strategy Benchmarking ในแง่มุมของการทำการตลาด เราจะทำเพื่อศึกษาดูว่า คู่แข่งหรือผู้เล่นอื่น ๆ ในตลาดมีกลยุทธ์ทางการตลาดในแคมเปญแคมเปญหนึ่งอย่างไร ใช้ช่องทางโปรโมตกี่ช่องทาง ใช้ผู้มีอิทธิพลหรืออินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ระดับใด ใช้งบประมาณโฆษณาจำนวนเท่าไร ฯลฯ 

เราอาจสรุป Marketing Strategy Benchmark ออกมาได้หลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น

  • ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียในการโปรโมต 5 ช่องทาง ได้แก่ Facebook, Instagram, TikTok, X หรือ Twitter และ YouTube
  • ใช้ช่องทางออฟไลน์ในการโปรโมต 2 ช่องทาง ได้แก่ ป้ายบิลบอร์ด และโฆษณาบนรถไฟฟ้าบีทีเอส
  • ใช้อินฟลูเอนเซอร์ระดับเมกา (Mega Influencer) หรือบุคคลมีชื่อเสียง (Celebrity) จำนวน 1 คน 
  • ใช้งบประมาณโฆษณาจำนวน 1,000,000 บาท ตลอดระยะเวลา 1 เดือน 

เมื่อได้ Marketing Strategy Benchmark มา เราก็สามารถนำมาเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ของเราได้ว่า ทำมากหรือน้อยกว่าคู่แข่ง คู่แข่งทำอะไรบ้าง และมีอะไรบ้างที่เราไม่ได้ทำ

ทั้งนี้ การทำ Strategy Benchmark จะมุ่งเน้นแค่กลยุทธ์หรือสิ่งที่ทำและไม่ได้ทำ หากต้องการวิเคราะห์ให้รอบด้านมากขึ้น จึงมักทำ Performance Benchmarking ควบคู่กันไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น การดู Performance แยกตามช่องทางที่ใช้โปรโมต เพื่อดูว่า ผลลัพธ์หรือประสิทธิภาพในแต่ละช่องทางของคู่แข่งและเราเป็นอย่างไร 

Engagement by Channel บน Social Metric
ข้อมูลที่แสดงผลบน Social Metric เป็นข้อมูลในช่วงปี 2023

ตัวอย่าง Engagement by Channel จาก Social Metric

ยกตัวอย่างเครื่องมือ Social Metric สามารถใช้สืบดูประสิทธิภาพแยกตามรายช่อทางยอดนิยมบนโซเชียลมีเดียได้ ช่วยให้คุณสามารถนำข้อมูลนี้ประกอบการทำ Performance Benchmark ได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น 

ทำ Benchmarking เทียบกับใครได้บ้าง?

นอกจากประเด็นหรือเรื่องที่เราจะเปรียบเทียบทำ Benchmarking แล้ว อีกคำถามที่เราต้องตอบให้ได้ก็คือ เราจะเทียบกับใคร หรือทำ Benchmarking โดยใช้ให้เป็นตัวแปรบ้าง

เปรียบเทียบกันในองค์กรเดียวกัน (Internal Benchmarking)

Internal Benchmarking คือ การหา Benchmark โดยเทียบกันเองภายในองค์กร เช่น แผนก สาขา หน่วยธุรกิจ (Business Unit) หรือองค์กรลูก ฯลฯ ส่วนใหญ่มักจะทำ Process Benchmarking เพื่อเปรียบเทียบว่า แนวปฏิบัติงานที่ทำมีประสิทธิภาพแค่ไหน เพื่อหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practice) 

นอกจากนี้ เราสามารถทำ Performance Benchmarking กับชุดข้อมูลในอดีตได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น แคมเปญการตลาดในลักษณะเดียวกัน ใน 3 ปีที่ผ่านมา ได้ผลลัพธ์เท่าไร เพื่อนำมาคาดการณ์ทรัพยากรที่ต้องใช้กับผลลัพธ์ที่คาดหวัง

เปรียบเทียบกับองค์กรภายนอก (External Benchmarking)

External Benchmarking คือ การเปรียบเทียบเรากับองค์กรอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการเปรียบเทียบในลักษณะนี้ เราสามารถเลือกทำ Benchmarking ประเภทใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเด็นหรือเรื่องที่ต้องการทราบ และการเปรียบเทียบในลักษณะนี้ อาจมีหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งองค์กรก็ได้

การเปรียบเทียบกับองค์กรภายนอก ส่วนใหญ่เราจะมองได้ 2 ระดับ ได้แก่ การเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่เราคัดเลือกว่าอยากเปรียบเทียบด้วย เรียกว่า “Competitor Benchmarking” และในอีกระดับ คือ การเปรียบเทียบกับผู้เล่นในตลาดหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน 

เปรียบเทียบกับผู้อื่นโดยทั่วไป (General Benchmarking)

General Benchmarking คือ การเปรียบเทียบกับผู้อื่นโดยทั่วไป ไม่ได้มีความเฉพาะเจาะจงที่กลุ่มเป้าหมายที่เราจะไปเปรียบเทียบด้วย ซึ่งการทำ Benchmarking ในลักษณะนี้ มักจะให้ข้อมูลในเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ จึงมักจัดทำในระดับมหภาคเพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น การทำ General Benchmarking เพื่อหาอัตราโพสต์ต่อวันของเพจในประเทศไทย การทำ General Benchmarking ของอัตราการเติบโตของธุรกิจทั้งประเทศ ฯลฯ 

ตัวอย่างการเปรียบเทียบ Benchmarking

สำหรับการทำ Benchmarking ตัวอย่างที่จะหยิบยกมาอธิบาย จะเป็นการเปรียบเทียบ Brand Performance โดยเทียบกับข้อมูลในอดีต (Internal Benchmarking) และการเทียบประสิทธิภาพแบรนด์กับแบรนด์อื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน (External Benchmarking)

ตัวอย่างการเปรียบเทียบ Benchmarking กับแบรนด์ตัวเอง

กราฟ Brand Score Timeline บน Social Metric โดยเปรียบเทียบข้อมูลตลอดทั้งปี

กราฟ Brand Score Timeline บน Social Metric โดยเปรียบเทียบข้อมูลตลอดทั้งปี

หากต้องการหา Brand Performance Benchmarking แบบ Internal สิ่งที่เราอยากรู้คงหนีไม่พ้น “ค่ามาตรฐาน” หรือประสิทธิภาพของแบรนด์ที่เราเคยทำได้ดีที่สุดได้แก่ตัวเลขอะไรบ้าง ซึ่งในการพิจารณา Brand Performance มีตัวชี้วัดหลายตัวมากที่เราจะนำมาคำนวณ เช่น ยอดการมีส่วนร่วม (Engagements) ยอดผู้ติดตาม (Followers) ยอดการพูดถึง (Brand Mentions) ฯลฯ

ทั้งนี้ ใน Social Metric เราสามารถตรวจดู Brand Performance โดยไม่ต้องดึงข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ มาคำนวณให้ยุ่งยาก เพราะ Social Metric มีฐานข้อมูลที่นำมาประเมินและตีเป็นคะแนนหรือ “ค่าพลังแบรนด์” (Brand Score) ให้แล้ว 

แบรนด์สามารถเลือกดู Brand Score ของตัวเอง โดยดูผ่านกราฟในแต่ละปีว่า เดือนใดที่แบรนด์ทำประสิทธิภาพได้ดีที่สุด โดยที่สามารถดูข้อมูลในเดือนปัจจุบันเทียบกับย้อนหลังของแบรนด์ต่าง ๆ ได้ ทำให้ช่วยลดขั้นตอนการทำรีเสิร์ชหลาย ๆ วัน ให้เหลือเพียง 1 นาที เพียงแค่คลิกเปิดหน้าเครื่องมือ นอกจากนี้ Social Metric ยังช่วยคำนวณคำนวณอัตราการเติบโตของแบรนด์ หรือ Avg. Growth Rate ให้อีกด้วย แบรนด์สามารถเลือกดูข้อมูลแต่ละปี และนำมาหาค่าเฉลี่ยเพื่อตั้ง Growth Rate Benchmarking สำหรับตั้งเป็นเป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์ได้ 

ตัวอย่างการเปรียบเทียบ Benchmarking กับแบรนด์คู่แข่ง 

กราฟ Brand Score Timeline บน Social Metric เทียบกับเส้นประ Avg. Industry Score

กราฟ Brand Score Timeline บน Social Metric เทียบกับเส้นประ Avg. Industry Score

หากต้องการวัดประสิทธิภาพของแบรนด์ โดยอยากรู้ว่าแบรนด์ของเรามีอิทธิพลมากแค่ไหนในตลาด การทำ External หรือ Competitor Benchmarking กับแบรนด์อื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันจะช่วยตอบคำถามข้อนี้ แต่การดึงข้อมูลจากแบรนด์ทั้งหมดที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมคงไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลานาน

แพลตฟอร์ม Social Metric ที่มีฐานข้อมูลของแบรนด์ต่าง ๆ ในไทยอยู่แล้ว สามารถดึงข้อมูลมาประมวลและนำเสนอ (Data Visualization) เป็นกราฟได้ทั้งในฝั่ง Owned และ Earned โดยเราสามารถเลือกแบรนด์ของเราโดยดูที่แดชบอร์ด “Brand Score” และคลิกเปรียบเทียบข้อมูลกับ “Avg. Industry Score” ที่สามารถยึดเป็น Benchmark ได้ (ดูรูปตัวอย่างด้านบน) 

จากกราฟตัวอย่าง เส้นทึบคือเส้นที่บอกการเติบโต Brand Score ของเรา (หรือสามารถสืบดูข้อมูลเชิงลึกของแบรนด์คู่แข่งได้) และเส้นประ คือ คะแนนเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือ Avg. Industry Score เราสามารถรู้ได้ทันทีว่า ขณะนี้คะแนนของแบรนด์เราสูงกว่าหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของแบรนด์อื่น ๆ ในอุตสาหกรรม จากกราฟข้างต้น จะเห็นได้ว่า คะแนนของแบรนด์เรายังตามหลังค่าเฉลี่ยของแบรนด์อื่นในอุตสาหกรรมอยู่ค่อนข้างมาก

ประโยชน์ของการมีเส้น Benchmarking บน Social Metric สำหรับแบรนด์

ประโยชน์ของเส้น Benchmark และการทำ Benchmarking นั้น ช่วยให้ธุรกิจและแบรนด์รู้ว่า แบรนด์เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับคนอื่น หรือสถานการณ์ของอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร แล้วธุรกิจหรือแบรนด์ของเรากำลังไปได้ดีแค่ไหน และดีจริงหรือไม่ นำไปสู่ทำ Social Media Performance Report ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

สำหรับเส้น Benchmarking บน Social Metric นั้น จากเดิม หากไม่มีเส้น Benchmark เราจะรู้เพียงว่า เราทำได้ดีขึ้นหรือแย่ลง แต่ถ้ามีเส้น Avg. Industry Score ที่ทำหน้าที่เป็น Competitor Benchmark ให้กับเรา เราก็จะรู้สถานการณ์ดีขึ้นว่า ประสิทธิภาพแบรนด์ของเราที่ดีขึ้นหรือลดลง ในความเป็นจริงแล้ว กำลังนำหน้าหรือตามหลังแบรนด์ส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมอยู่ อีกทั้ง เส้นประ Benchmark นี้ ยังเป็นข้อมูลที่อัปเดตเดือนต่อเดือน ทำให้ได้ข้อมูลที่ใช้งานได้ทันท่วงที 

หากกล่าวโดยสรุปแล้ว เราสามารถใช้ประโยชน์จากเส้น Benchmark บน Social Metric ตอบคำถามในระดับอุตสาหกรรมที่แบรนด์อาจไม่เคยรู้มาก่อน 

  • ช่วยให้แบรนด์รู้ว่า แบรนด์กำลังไปได้ดี และ ‘ดีแค่ไหน’ ในสนาม
  • ช่วยเปรียบเทียบผลลัพธ์ให้เห็นว่า แบรนด์ของคุณทำได้มากกว่าหรือน้อยกว่าค่าเฉลี่ยผลลัพธ์ของทั้งอุตสาหกรรม
  • ช่วยให้รู้ว่า สิ่งที่แบรนด์ทำไปให้ผลลัพธ์สอดคล้องหรือสวนทางกับเทรนด์ของอุตสาหกรรม
  • ใช้สืบข้อมูลเชิงลึกของแบรนด์คู่แข่งได้ สามารถดู Brand Score ของคู่แข่งเทียบกับ Benchmark ได้
  • เหมาะจะนำไปใช้รายงานผลการทำงานหรือสรุปข้อมูลเพื่อหาวิธีการขั้นต่อไปที่จะปรับแผนด้านการตลาดได้ทันท่วงที 

เมื่อ “รู้เขารู้เรา” อย่างทันท่วงที แบรนด์ก็สามารถผลิกเกม เป็นผู้นำในตลาดได้นั่นเอง

สรุปการทำ Benchmarking คืออะไร 

อ่านมาถึงท้ายบทความแล้ว เชื่อว่า ผู้อ่านน่าจะเข้าใจถึงความสำคัญและการใช้งาน Benchmark กันมากขึ้น ทั้งนี้ หากจะสรุปความสำคัญและประโยชน์ของการทำ Benchmarking ก็สามารถสรุปได้ ดังนี้

  • Benchmark ควรตอบได้ว่า ตอนนี้เราอยู่ตรงไหนหรืออยู่ในสถานการณ์แบบไหนอยู่
  • Benchmark ควรตอบได้ว่า ใครคือผู้เล่นที่เก่งที่สุดหรือใครที่ทำคะแนนได้ดีกว่าเรา

นอกจากนี้ เรายังต้องตอบให้ได้ว่า แล้วผู้เล่นที่เก่งที่สุดหรือคนที่เก่งกว่าเรา เขาทำแบบนั้นได้อย่างไร แล้วมีทางไหนบ้างที่เราจะพัฒนาตัวเองให้สามารถทำได้เหมือนหรือดีกว่าเขาได้บ้าง จึงจะถือได้ว่าบรรลุจุดประสงค์ของการทำ Benchmarking