ทุกวันนี้เราใช้เกณฑ์อะไรในการวัดค่าพลังของแบรนด์ จะรู้ได้อย่างไรว่า แบรนด์มีความสามารถทำการแข่งขันกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันได้หรือไม่ 

หากแบรนด์ยังไม่มีวิธีการวัดผลลัพธ์การทำงานของแบรนด์ (Metrics) หรือ Brand Performnce ได้อย่างแท้จริง บทความนี้ จะทำให้เราได้เข้าใจแพลตฟอร์มที่ช่วยวัดค่าพลังของแบรนด์อย่าง “Social Metric” แบบละเอียด พร้อมพารีวิวดูเมตริกต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราวัดผล และปรับปรุงแผนด้านการตลาด ทั้งการวางงบประมาณทำการตลาด การวางกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ แผนการรักษาชื่อเสียงของแบรนด์ ไปจนถึงการปล่อยแคมเปญคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำได้อย่างไรบ้างนั้นลองไปดูเนื้อหาพร้อม ๆ กันได้เลย

Social Metric คืออะไร แนะนำแพลตฟอร์มสำหรับวัดค่าพลังของแบรนด์

Social Metric คือ แพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับดูประสิทธิภาพของแบรนด์ต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เพียงแค่เพิ่มแบรนด์ของเราหรือคู่แข่งเข้ามาใน Social Metric ก็สามารถเห็นข้อมูลประสิทธิภาพแบรนด์บนโซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย โดยแบรนด์สามารถเข้ามาตรวจสอบถึง “ค่าพลังของแบรนด์” ในแต่ละเดือนว่า ในเดือนนั้น ๆ แบรนด์จะปรับแผน​การใช้โซเชียลมีเดียได้ดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดเดียวกัน ผ่านการแสดงผลข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายทั้งในรูปแบบกราฟและตัวเลขสำคัญ

Social Metric คืออะไร
ข้อมูลที่แสดงผลบน Social Metric เป็นข้อมูลในช่วงปี 2023

สำหรับเกณฑ์การวัดผลบนแพลตฟอร์ม Social Metric นั้นผ่านการประมวลผลที่แม่นยำและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับงาน Thailand Social Awards พร้อมเก็บข้อมูลกว่า 800 จุดข้อมูล (Data Point) มาคำนวณต่อเนื่องให้ตลอดทั้งปี ทำให้ข้อมูลเชิงลึกที่แสดงผลอยู่บน Social Metric สามารถนำไปใช้วัดผล ส่องคู่แข่งเพื่อปรับแผน หรือเทียบกับค่ากลางของตลาด ซึ่งนำมาใช้วัดผลได้จริงตามที่ธุรกิจต้องการ  

(การวัดผลบนแพลตฟอร์ม Social Metric นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพิจารณรางวัลในงาน Thailand Social Awards เท่านั้น เนื่องจาก Thailand Social Awards จะมีเกณฑ์การวัดผลอื่น ๆ ถูกนำเข้ามาพิจารณาเพิ่มเติมด้วย

ค่าพลังของแบรนด์บน Social Metric ใช้อะไรในการคำนวณผลบ้าง

แน่นอนว่าการวัดค่าพลังของแบรนด์ให้เห็นเป็นตัวเลขไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากในปัจจุบันนี้มีข้อมูลมากมายที่เราต้องวัดผล และมีโซเชียลมีเดียหลากหลายแพลตฟอร์มที่สามารถเลือกใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าหาผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้ ดังนั้นโจทย์ของการวัดผลลัพธ์สิ่งที่แบรนด์ทำได้บนโซเชียลมีเดียจึงต้องอาศัยความเข้าใจว่า เกณฑ์แบบไหนที่จะช่วยทำให้เห็นประสิทธิภาพของแบรนด์บนโซเชียลมีเดียได้อย่างแท้จริง 

ซึ่ง โดยทั่วไปเราจะแบ่งช่องทางวัดประสิทธิภาพของแบรนด์บนโซเชียลมีเดียจากช่องทางที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Channel) แต่จริง ๆ แล้วแบรนด์ควรที่จะวัดผลจากช่องทางโซเชียลมีเดียที่พูดถึงหรือกระทำบางอย่างกับแบรนด์ (Earned Channel) ด้วยเช่นเดียวกัน 

วิธีการคำนวณข้อมูลบน Social Metric คิดจากอะไรบ้าง

และนี่คือหลักการของ Social Metric ที่จะแสดงข้อมูลเชิงลึกทั้งในฝั่งที่เก็บข้อมูลมาจากช่องทางโซเชียลมีเดียที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Channel) และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นที่กล่าวถึงแบรนด์ (Earned Channel) แล้วนำมาคำนวณให้ผ่าน 2 มุมมองหลัก ได้แก่

1. Fundamental Factors

คือ ตัวแปรในเชิงปริมาณ โดยจะคำนวณมาจากเมตริกต่าง ๆ ดังนี้

  • Followers หมายถึง จำนวนผู้ติดตามของแบรนด์
  • Reactions หมายถึง จำนวนการกด Like รวมถึงการกด Love, Wow, Haha และ Angry บน Facebook
  • Comment หมายถึง จำนวนการแสดงความคิดเห็น
  • Share หมายถึง จำนวนการแชร์
  • Views on TikTok/YouTube หมายถึง จำนวนครั้งที่มีการดูวิดีโอ
  • Daily Unique Messages หมายถึง จำนวนบัญชีผู้ใช้งานบนโซเชียลมีเดียที่พูดถึงแบรนด์ใน 1 วันแบบไม่ซ้ำ 

2. Analytical Factors

คือ ตัวแปรในเชิงคุณภาพ โดยจะคำนวณมาจากเมตริกต่าง ๆ ดังนี้

  • Comment Ratio หมายถึง อัตราส่วนการแสดงความคิดเห็นเทียบกับการมีส่วนร่วม (Engagement) ทั้งหมด
  • Share Ratio หมายถึง อัตราส่วนการแชร์เทียบกับการมีส่วนร่วม (Engagement) ทั้งหมด
  • Owned Sentiment หมายถึง ทัศนคติที่มีต่อแบรนด์ โดยดูจากคอมเมนต์ที่เกิดขึ้นบนบัญชีที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Channel)
  • Earned Sentiment หมายถึง ทัศนคติที่มีต่อแบรนด์ โดยดูจากทัศนคติของข้อความที่มีคีย์เวิร์ดของแบรนด์
  • Facebook Tag Friend หมายถึง จำนวนข้อความของการแสดงความคิดเห็นที่มีการแท็กชื่อคนอื่นภายใต้โพสต์นั้น ๆ 
  • Facebook Intention หมายถึง จำนวนข้อความของการแสดงความคิดเห็นที่แสดงความสนใจต่อแบรนด์หรือคอนเทนต์ของแบรนด์บนช่องทางโซเชียลมีเดียที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Channel) เช่น สนใจ, ไปตำ, ต้องลอง เป็นต้น

ซึ่งการคำนวณข้อมูลจากมุมมอง Analytical Factors นั้นไม่ใช่ที่ใครก็ทำได้ แต่ต้องอาศัยการรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลในหลายด้าน จึงจะได้วิธีการคำนวณและตัวเลขที่เหมาะสมที่สุดในการนำมาวัดประสิทธิภาพของแบรนด์

ข้อมูลที่น่าสนใจของ Social Metric ดูค่าพลังของแบรนด์แบบเชิงลึกได้อย่างไรบ้าง

ข้อมูลที่แสดงผลบน Social Metric เป็นข้อมูลในช่วงปี 2023

สำหรับข้อมูลที่น่าสนใจบน Social Metric จะแสดงผลผ่านแดชบอร์ด (Dashboard) ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมเ 6 หน้า ได้แก่ หน้า Overview และหน้าโซเชียลมีเดียแยกแต่ละแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Facebook, Instagram, TikTok, X หรือ YouTube 

หน้า Overview

หน้า Overview Dashboard Social Metric
ข้อมูลที่แสดงผลบน Social Metric เป็นข้อมูลในช่วงปี 2023

คุณสามารถดูประสิทธิภาพของแบรนด์บนโซเชียลมีเดียในภาพรวมได้จากหน้า Overview ซึ่งจะมีข้อมูลเชิงลึกสำคัญ ๆ ดังนี้

Brand Score

Brand Score คือ ตัวชี้วัดประสิทธิภาพแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกันกับงาน Thailand Social Awards ในการคำนวณ โดยจะคิดจากช่องทางโซเชียลมีเดียที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Channel) และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นที่กล่าวถึงแบรนด์ (Earned Channel) หากแบรนด์ไหนมี Brand Score สูง แสดงว่าในช่วงนั้นแบรนด์ทำผลงานได้ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม

Owned Score และ Earned Score

Owned Score และ Earned Score คือ คะแนนวัดประสิทธิภาพของโซเชียลมีเดียที่แยกคะแนนให้เห็นทั้งในฝั่งช่องทางโซเชียลมีเดียที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Channel) และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นที่กล่าวถึงแบรนด์ (Earned Channel) ทำให้แบรนด์รู้ว่า เมื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแบรนด์แยกในแต่ละช่องทางแล้วแบรนด์ทำผลงานได้ดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม

Sentiment Score

Sentiment Score คือ ผลของการวิเคราะห์ความรู้สึกจากข้อความที่ผู้คนพูดถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย โดยจะคำนวณจากการพูดถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดียว่ามีการพูดถึงในแง่บวก (Positive) หรือแง่ลบ (Negative) ซึ่งค่า Sentiment จะคำนวณอยู่ในสัดส่วนช่วง 0% – 100% หาก Sentiment Score สูง หมายความว่าแบรนด์มีการถูกพูดถึงจำนวนมากบนโซเชียลมีเดียในสัดส่วนที่เป็นแง่บวก (Positive) มากกว่าแง่ลบ (Negative) 

Total Post

Total Post คือ การแสดงจำนวนโพสต์ของแบรนด์ในแต่ละเดือนว่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของแบรนด์ที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมแล้ว แบรนด์ของคุณมีจำนวนการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่ดีหรือไม่ เมื่อเทียบกับจำนวนโพสต์ที่ทำไปในแต่ละเดือน

Daily Unique Message

Daily Unique Message คือ การแสดงจำนวนข้อความที่โพสต์โดยผู้คนที่กล่าวถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดียแบบไม่ซ้ำกันต่อวัน หมายความว่า หากต้องการสร้างกระแสด้วยข้อความให้กับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง บัญชีผู้ใช้งานจะถูกนับเพียงแค่ 1 ข้อความเท่านั้นต่อวัน

Great Performance, Good Performance, General Performance และ Low Performance

Great Performance, Good Performance, General Performance และ Low Performance คือ การวัดประสิทธิภาพของคอนเทนต์ที่อยู่ในช่องทางโซเชียลมีเดียที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Channel) เทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยจะใช้วิธีดูการกระจายตัวของข้อมูลและใช้เปอร์เซ็นไทล์ (Percentile) ที่เหมาะสมในการจัดกลุ่มข้อมูล เพื่อดูว่าคอนเทนต์ที่แบรนด์ทำนั้นจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องตัดเกรดเป็นกลุ่มคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพดีกี่เปอร์เซ็นต์ (%) ของคอนเทนต์ทั้งหมดในอุตสาหกรรม ซึ่งเปอร์เซ็นต์ (%) ที่ใช้ในการจัดกลุ่มนี้จะแบ่งออกเป็น…

  • Great Performance จะตัดเกรดของคอนเทนต์ที่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 90 แสดงว่าแบรนด์ทำคอนเทนต์อยู่ในระดับสูงสุด (Top) 10% เมื่อเทียบกับคอนเทนต์อื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • Good Performance จะตัดเกรดของคอนเทนต์ที่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 70 แสดงว่าแบรนด์ทำคอนเทนต์อยู่ในระดับสูงสุด (Top) 30% เมื่อเทียบกับคอนเทนต์อื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • General Performance จะตัดเกรดของคอนเทนต์ที่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 แสดงว่าคอนเทนต์ของแบรนด์มีประสิทธิภาพสูงกว่าค่ากลาง เมื่อเทียบกับคอนเทนต์อื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • Low Performance จะตัดเกรดของคอนเทนต์ที่เปอร์เซ็นไทล์ที่น้อยกว่า 50 แสดงว่าคอนเทนต์ของแบรนด์มีประสิทธิภาพต่ำกว่าค่ากลาง เมื่อเทียบกับคอนเทนต์อื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
รายละเอียดที่แสดงข้อมูลบนหน้า Overview ของ Social Metric
ข้อมูลที่แสดงผลบน Social Metric เป็นข้อมูลในช่วงปี 2023

Engagement Timeline

Engagement Timeline คือ กราฟที่แสดงช่วงที่ผู้คนมีส่วนร่วมกับแบรนด์ (Engagement) พร้อมเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยอดการมีส่วนร่วมของแบรนด์กับค่าเฉลี่ยของแบรนด์ที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยกราฟและข้อมูลที่สรุปออกมาเป็นตัวเลข

Engagement by Channel

Engagement by Channel คือ กราฟที่บอกสัดส่วนของการมีส่วนร่วม (Engagement) จากแต่ละช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยแยกการแสดงผลออกเป็นฝั่งช่องทางโซเชียลมีเดียที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Channel) และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นที่กล่าวถึงแบรนด์ (Earned Channel)

Top Hashtag

Top Hashtag คือ ข้อมูลที่แสดงแฮชแท็กของแบรนด์ที่จำนวนข้อความ (Message) มากที่สุดใน 10 อันดับแรก

รายละเอียดของ Engagement ที่อยู่บน Social Metric

Engagement Matrix (YTD)

Engagement Matrix (YTD) คือ การแสดงตำแหน่งของแบรนด์ (Brand Positioning) เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมว่า จัดอยู่ในกลุ่ม Leader, Builder, Explorer หรือ Niche ซึ่งตำแหน่งของแบรนด์นี้จะสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการวางกลยุทธ์ของแบรนด์ (Brand Strategy) ว่าในช่วงนี้แบรนด์ทำคอนเทนต์ในสไตล์ไหน และเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของการมีส่วนร่วม (Engagement) แล้ว แบรนด์จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มใด 

โดยตามหลักการแล้วตำแหน่งของแบรนด์ทางด้านขวา (Leader และ Niche) ที่มี มีส่วนร่วม (Engagement) สูงถือว่าทำประสิทธิภาพได้ดีกว่า ตำแหน่งของแบรนด์ที่อยู่ทางด้านซ้าย (Builder และ Explorer) แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ในการทำคอนเทนต์ของแต่ละแบรนด์ด้วยว่าโฟกัสการทำการตลาดแบบใด

Daily Post by Engagement

Daily Post by Engagement คือ การแสดงข้อมูลโพสต์ของแบรนด์ที่เกิดขึ้นทั้งเดือน และนำมาวัดผลการมีส่วนร่วม (Engagement) เพิ่มเติมว่า แบรนด์มีโพสต์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Great Performance, Good Performance, General Performance หรือ Low Performance ในจำนวนเท่าไรบ้าง 

ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะใช้เพื่อดูว่าแผนการทำคอนเทนต์ (Content Strategy) ของแบรนด์ที่ปล่อยออกไปนั้นถูกจัดกลุ่มอยู่ในเกณฑ์ที่มีผลการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่ดีหรือไม่ หรือควรที่จะปรับกลยุทธ์การทำคอนเทนต์ใหม่ให้ดีมากขึ้น

รายละเอียดโพสต์ของแบรนด์ในแต่ละเดือนที่แสดงอยู่บน Social Metric

All Post List

All Post List คือ การรวบรวมโพสต์ของแบรนด์ในแต่ละช่องทางโซเชียลมีเดียเอาไว้ในที่เดียว ช่วยสรุปให้เห็นภาพรวมของโพสต์ต่าง ๆ ทั้งภาพ ข้อความ ช่องทางโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงผลลัพธ์สำคัญอื่น ๆ ได้ง่ายมากขึ้น

หน้าโซเชียลมีเดียในแต่ละแพลตฟอร์ม

นอกจากจะสามารถดูข้อมูลเชิงลึกในภาพรวมได้แล้ว Social Metric ยังมีข้อมูลการแสดงค่าพลังของแบรนด์แยกให้เห็นในแต่ละแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, TikTok, X และ YouTube ซึ่งเมตริกในแต่ละแพลตฟอร์มนั้นจะแสดงผลแตกต่างกันไป เพื่อให้การวัดประสิทธิภาพของโซเชียลมีเดียในแต่ละแพลตฟอร์มมีความแม่นยำและมีความเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น

ข้อดีของ Social Metric ที่พลาดไม่ได้

จากข้อมูลเชิงลึกที่ทำการรวบรวมมาไว้บน Social Metric มากกว่า 2,000 แบรนด์ชั้นนำ ทำให้ผู้ใช้งานมองเห็นข้อมูลสำคัญในแง่มุมต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น 

  • ทำให้แบรนด์มองเห็นประสิทธิภาพของแบรนด์บนช่องทางโซเชียลมีเดียได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จากการเห็นว่าช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์ (Owned Channel) และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นที่กล่าวถึงแบรนด์ (Earned Channel) นั้นมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร
  • Social Metric มีข้อมูลเชิงลึกที่แสดงผลประสิทธิภาพของแบรนด์แยกตามแต่ละโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะเป็นในช่องทาง Facebook, Instagram, TikTok, X และ YouTube แบรนด์จึงโฟกัสการทำการตลาดในแต่ละโซเชียลมีเดียได้ดียิ่งขึ้น
  • รู้ได้ว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมนั้นกำลังทำอะไรอยู่ และมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับแบรนด์ของคุณ
  • หากมีการติดตามแบรนด์ไว้หลายแบรนด์ ทั้งแบรนด์ตัวเอง แบรนด์ของคู่แข่ง และแบรนด์ที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมนั้น ๆ จะช่วยทำให้เข้าใจรูปแบบการทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย และปรับกลยุทธ์การทำการตลาดได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำ Branding, การทำ Brand Performance Marketing ไปจนถึงช่วยในการกำหนดงบประมาณที่ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากรู้ว่า Key Metric คืออะไร และมี Key Metric ไหนบ้างที่ต้องใช้สำหรับวัดประสิทธิภาพของแบรนด์
  • แบรนด์ไม่จำเป็นที่จะต้องทำการคำนวณข้อมูลเหล่านี้ด้วยตัวเอง แต่สามารถดูเมตริกผ่านแพลตฟอร์ม Social Metric ที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลมาแสดงในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและชัดเจนมากที่สุด 

Social Metric ช่วยให้ใครทำงานได้ง่ายมากขึ้นบ้าง

Social Metric เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับ…

  • Brand Strategist ใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างกลยุทธ์การสื่อสารของแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพ 
  • Content Manager นำไปพัฒนาคุณภาพคอนเทนต์ของแบรนด์บนโซเชียลมีเดียเพื่อให้มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น 
  • Marketing Strategist วางกลยุทธ์โซเชียลมีเดียแบบเหนือชั้น ช่วยผลักดันให้แบรนด์ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ 
  • Media Planner เลือกช่องทางที่จะทำแคมเปญการตลาดบนโซเชียลมีเดียที่ใช่ ได้มีประสิทธิภาพ

Social Metric ใช้ยังไง

1. หากสนใจที่จะใช้งาน Social Metric คลิกเข้าไปเลยที่ https://wisesight.com/th/social-metric/

2. เมื่อเข้ามาในเว็บไซต์คุณสามารถทำการเลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมสำหรับคุณได้จากหน้านี้

Process Payment social metric

3. ทำการกรอกรายละเอียดเพื่อทำการสมัครใช้งาน Social Metric แบบรายปี

Social metric Process Payment
Social Metric Process Payment

4. เมื่อทำการสมัครเสร็จเรียบร้อยจะเข้าสู่หน้าของการตั้งค่ารหัสผ่านก่อนเริ่มต้นการใช้งาน

Homepage Process Payment

5. หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าโฮมเพจที่รวบรวมเครื่องมือจาก Wisesight ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายเครื่องมือ ยกตัวอย่างเช่น 

  • Zocial Eye เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดีย ที่สามารถดึงข้อมูลจากแหล่งโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram, TikTok, Forum (Pantip), Youtube, News, Blog และสรุปออกมาเป็น Insight หรือข้อมูลเชิงลึก ผ่านแดชบอร์ดที่มีหลากหลายตัวชี้วัด (Metric) อ่านรายละเอียด Zocial Eye คืออะไร
  • Influencer Directory เครื่องมือหา Influencer รีวิวสินค้า โปรโมตแบรนด์ หรือหาผู้มีอิทธิพลจากสื่อโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ ที่มีโปรไฟล์ไปจนถึงข้อมูลเชิงลึก (Insight) ตรงกับสิ่งที่แบรนด์ต้องการ อ่านรายละเอียด วิธีการหา Influencer จาก Influencer Directory

6. ให้คลิกที่ Social Metric เพื่อเริ่มต้นการใช้งานได้เลย

สรุปการใช้งาน Social Metric

Social Metric คือ แพลตฟอร์มสำหรับวัดค่าพลังของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย ช่วยให้แบรนด์รู้ว่าประสิทธิภาพของแบรนด์อยู่ในจุดไหนของสนามการแข่งขันนี้เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปใช้ในการต่อยอดการทำ Brand Strategy หรือการสร้าง Brand Awareness ให้กับธุรกิจได้อย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น 

หากสนใจอยากใช้ Social Metric เพื่อย่นระยะเวลาในการวัดผลลัพธ์ของแบรนด์จากการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกด้วยตัวเอง เปลี่ยนมาเป็นการวัดผลด้วยเมตริกที่วิเคราะห์และคำนวณมาแล้วอย่างแม่นยำจากข้อมูลของแบรนด์กว่า 2,000 แบรนด์ ซึ่งคุณสามารถนำมาเป็นเกณฑ์ในการวัดผล Brand Performance ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดคำนวณด้วยตัวเอง เพราะ Social Metric ช่วยคำนวณมาให้คุณเรียบร้อยแล้ว! 

เริ่มต้นสมัครใช้งาน Social Metric คลิก ที่นี่ เพื่อเลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมกับคุณ