ในทุกธุรกิจย่อมมีวิธีการมุ่งสู่เป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปโดยเฉพาะในเรื่องของการตลาดที่ไม่ว่าจะเป็นช่องทางหรือการวัดผลความสำเร็จก็มักจะต้องใช้เทคนิคหรือวิธีการที่แตกต่างกันออกไปอยู่เสมอ ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนต้องทำเลยก็คือ การหาทั้งกลยุทธ์ในการทำการตลาด และ “Key Metrics” ที่เหมาะสมในการวัดผลในช่องทางการทำการตลาดออนไลน์ในแต่ละช่องทาง

ยกตัวอย่างเช่น บนโซเชียลมีเดีย (Social Media) ที่ในปัจจุบันมีมากมายหลายแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Instagram, TikTok, YouTube ฯลฯ ที่มีรายละเอียดของเมตริกที่จะต้องวัดผลที่ค่อนข้างแตกต่างกัน และเพื่อหาตัวชี้วัดที่เหมาะสำหรับช่องทางนั้น ๆ และแปรเปลี่ยนออกมาเป็นแผนการที่ใช้ในการเข้าถึงเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจึงต้องโฟกัสในการหาเมตริกหรือข้อมูลที่เหมาะสมมาใช้ในการทำ KPI Monitoring ในการติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง
บทความนี้จึงจะมาสรุปสิ่งที่ต้องรู้ ทั้งการอธิบายว่า Key Metrics คืออะไร ทำไมจึงต้องมี Key Metrics เมื่ออยู่บนโซเชียลมีเดียควรใช้อะไรในการวัดผล ไปจนถึงควรใช้เครื่องมืออะไรบ้างในการวัดผลลัพธ์ ถ้าพร้อมแล้วเรามาดูกันเลย
Key Metrics คืออะไร
Key Metrics คือ ตัวชี้วัดที่สามารถใช้ในการวัดผลและประเมินผลความสำเร็จของการทำการตลาด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
ซึ่งถ้าเราทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย Key Metrics ก็จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า ผลลัพธ์ที่ได้นั้นช่วยบอก Performance Marketing บนช่องทางโซเชียลมีเดียว่าทำแล้วดีหรือไม่ เทียบกับคู่แข่งแล้วเป็นอย่างไร ต่อยอดไปสู่การวิเคราะห์ถึงประสิทธิภาพและการเติบโตของแบรนด์ว่าเป็นอย่างไรได้ โดยในแต่ละช่องทางโซเชียลมีเดียเองก็มี Social Media Metrics หลากหลายประเภทที่ใช้ในการวัดผลและช่วยบอกเราได้ว่าความสำเร็จของกิจกรรมการตลาดที่เราสร้างขึ้น ซึ่งนักการตลาดควรรู้ว่าในแต่ละช่องทางจะต้องใช้ค่าไหนในการวัดผล
ตัวอย่างประเภทของ Key Metrics ที่ใช้วัดผลลัพธ์บนโซเชียลมีเดีย
- Followers หมายถึง จำนวนผู้ติดตามของแบรนด์
- Reactions หมายถึง จำนวนการกด Like รวมถึงการกด Love, Wow, Haha และ Angry บน Facebook
- Comment หมายถึง จำนวนการแสดงความคิดเห็น
- Share หมายถึง จำนวนการแชร์
- Views on TikTok/YouTube หมายถึง จำนวนครั้งที่มีการดูวิดีโอ
ในการวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ สามารถช่วยให้เข้าใจถึงผลกระทบและความสำเร็จของกลยุทธ์ที่ทำบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงช่วยในการปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์สำหรับแบรนด์ในอนาคตได้ด้วย
ประโยชน์ของการมี Key Metrics สำหรับวัดผล

ช่วยสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดีขึ้น
Key Metrics คือ ข้อมูลที่บ่งบอกผลลัพธ์เพื่อให้เราสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดและทำความเข้าใจได้ว่าแคมเปญที่สร้างขึ้นนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งเราสามารถนำเอาข้อมูลที่ได้มาเพิ่มประสิทธิภาพให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เราต้องการได้
ยกตัวอย่างเช่น หากเราวางแผนการตลาดบนโซเชียลมีเดีย และต้องการวัดผลว่าเนื้อหาหรือโฆษณามีความน่าสนใจและกระตุ้นให้ผู้ชมคลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ นักการตลาดสามารถใช้ Click-Through Rate หรือ CTR เป็นเมตริกในการปรับปรุงข้อความโฆษณาและการออกแบบให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้นได้ เป็นต้น
ช่วยให้มองเห็นอินไซต์จากกลุ่มเป้าหมาย
Key Metrics ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกจากการทำแคมเปญได้ว่า กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม (Engagement) กับแบรนด์เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งจะวิเคราะห์จากเมตริกสำคัญอย่างเช่น การกดไลก์ (Like), การแสดงความคิดเห็น (Comment), การแชร์ (Share) พร้อมกับข้อมูลอื่น ๆ ที่จะช่วยให้เราเข้าใจได้ว่า กลุ่มเป้าหมายของเรานั้นมีความสนใจในเนื้อหาประเภทใด และสามารถสร้างเนื้อหาที่จะช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วมหรือ Engagement มากขึ้นได้ในอนาคต
ช่วยกำหนดเป้าหมายของทีม
เมื่อ Key Metrics คือ ตัวชี้วัดที่ช่วยบอกเรื่องของประสิทธิภาพทางการตลาดของแบรนด์หรือ Brand Performance ดังนั้น เมตริกจึงต้องมีความสัมพันธ์กับเป้าหมายทางธุรกิจหรือเป้าหมายของทีมที่จะทำการตลาด เพราะ Key Metrics ทำให้เราทราบได้ว่าช่องทางใดที่ช่วยทำให้เกิด Conversion ในรูปแบบที่ต้องการได้ ซึ่งช่วยทำให้ทีมขายและทีมการตลาดสามารถพัฒนางานได้อย่างต่อเนื่องจนไปถึงเป้าหมายที่วางไว้อย่างไม่หลงทางนั่นเอง
ควรใช้ Key Metrics ในการวัดผลลัพธ์บนโซเชียลมีเดียในรูปแบบไหนบ้าง
เราสามารถดูเมตริกสำคัญได้ทั้งจากฝั่งของแบรนด์ หรือ Owned Channel และฝั่งของช่องทางที่กล่าวถึงแบรนด์หรือ Earned Channel และควรดูทั้งในภาพรวมและรายช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยการวัดผลในรูปแบบนี้มีความสำคัญ ดังนี้
ทำไมต้องวัดผลลัพธ์ในฝั่ง Owned Media | ทำไมต้องวัดผลลัพธ์ในฝั่ง Earned Media |
เพื่อควบคุมและปรับปรุงเนื้อหา (Content Control and Improvement) ช่วยให้ทราบว่าเนื้อหาแบบไหนที่ได้รับความสนใจจากผู้ติดตามและลูกค้า ทำให้สามารถปรับปรุงและสร้างเนื้อหาที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น อีกทั้งช่วยให้เห็นภาพรวมของประสิทธิภาพเนื้อหาต่าง ๆ ที่เผยแพร่ลงไปในช่องทางที่แบรนด์เป็นเจ้าของ ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การโพสต์เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่ดีมากขึ้นได้ | ช่วยวัดผลการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ช่วยให้เห็นภาพรวมของการรับรู้แบรนด์ผ่านการกล่าวถึงและการแชร์จากผู้ใช้งานและสื่ออื่น ๆ ทำให้สามารถวัดความสำเร็จในการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ได้ |
ใช้ในการวางแผนและการตัดสินใจ (Planning and Decision Making) ข้อมูลที่ได้จากการวัดผลจะช่วยในการวางแผนและการตัดสินใจในอนาคต เช่น การกำหนดเวลาโพสต์ที่เหมาะสม, การเลือกหัวข้อที่น่าสนใจมาทำคอนเทนต์, การตั้งงบประมาณในการทำโฆษณา เป็นต้น | เพื่อแพร่กระจายและการเข้าถึงแบรนด์ (Virality and Reach) สามารถใช้เพื่อวัดผลการแชร์และการกล่าวถึงจากผู้ใช้งานหรือสื่ออื่น ๆ ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และยังวัดผลลัพธ์ของการมีส่วนร่วม ( Engagement) ที่เพิ่มมากขึ้นจากผู้ใช้งานและสื่ออื่น ๆ ได้ด้วย |
Tips : ทำความรู้จักกับช่องทางการทำการตลาดอย่าง Owned Channel และ Earned Channel ให้มากขึ้นที่ Paid Earned และ Owned Media คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับธุรกิจ |
Key Metrics ตัวอย่างบนโซเชียลมีเดียที่ควรใช้ในการวัดผล
ในการวัดผลลัพธ์ประสิทธิภาพของการทำการตลาดหรือการทำธุรกิจ จะมี Key Metrics มากมายที่ควรตรวจสอบ ซึ่งในที่นี้เราจะยกตัวอย่าง เมตริกที่ใช้วัดผลบนโซเชียลมีเดียและเน้นการวัดผลในเรื่องของ Brand Performance เป็นหลัก เนื่องจากการวัดประสิทธิภาพของแบรนด์นั้นจะต้องใช้ตัวชี้วัดมากกว่าตัวพื้นฐานทั่วไป ทำให้หลายคนต้องใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยรายงานผลให้ครบถ้วน อย่างการใช้เครื่องมือ Social Metric คือ แพลตฟอร์มที่มีการคิดคำนวณค่าพลังของแบรนด์ทั้งในเชิงปริมาณและในเชิงคุณภาพมาให้ในแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งจะมีการคิดคำนวณเมตริกใน 2 มุมมองด้วยกัน คือ
Social Metric กับเมตริกสำคัญที่ใช้วัดผลลัพธ์โซเชียลมีเดียในแต่ละช่องทาง
เวลาที่แบรนด์หรือธุรกิจจะตัดสินใจทำการตลาดก็มักจะเปิดตัวแคมเปญพร้อมกันในหลายช่องทาง ซึ่งยากต่อการติดตามผลลัพธ์
ดังนั้น Social Metric จึงเป็นเครื่องมือที่รวบรวมข้อมูลของแต่ละโซเชียลมีเดียมาไว้ให้ในที่เดียว โดยรวบรวมข้อมูลเชิงลึกสำหรับแบรนด์ทั้งในช่องทางโซเชียลมีเดียที่แบรนด์เป็นเจ้าของ (Owned Channel) และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นที่กล่าวถึงแบรนด์ (Earned Channel) กว่า 60 จุดข้อมูล (Data Point) ที่นำมาคำนวณให้ทุกเดือน และกว่า 800 จุดข้อมูล (Data Point) ที่นำมาคำนวณต่อเนื่องให้ตลอดทั้งปี ทำให้แบรนด์สามารถนำข้อมูลจากทุกช่องทางมาคำนวณและวิเคราะห์ผลได้อย่างแม่นยำ โดย Key Metrics ที่แสดงผลบนแพลตฟอร์มจะมีอยู่ด้วยกันหลายช่องทาง ดังนี้
Post : จำนวนโพสต์ที่เกิดขึ้นบนบัญชีโซเชียลมีเดียของแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media บน Facebook และ X |
Reaction : จำนวนการกด Like, Love, Wow, Haha และ Angry บน Facebook ของแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media และ Earned Media บน Facebook |
Tag Friend : จำนวนข้อความของการแสดงความคิดเห็นที่มีการแท็กชื่อคนอื่นภายใต้โพสต์บน Facebook ของแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media บน Facebook |
Intention : จำนวนข้อความของการแสดงความคิดเห็นที่แสดงความสนใจต่อแบรนด์หรือคอนเทนต์ของแบรนด์บน Facebook | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media บน Facebook |
Comment :จำนวนการแสดงความคิดเห็นจากบัญชีโซเชียลมีเดียของแบรนด์เอง (Owned Channel) จำนวนการแสดงความคิดเห็นจากบัญชีผู้ใช้งานอื่นในแต่ละโซเชียลมีเดีย (Earned Channel) | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media และ Earned Media บน Facebook, Instagram, TikTok, X และ YouTube |
Share : จำนวนการแชร์ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์ จำนวนการแชร์จากบัญชีผู้ใช้งานอื่นบนโซเชียลมีเดียที่พูดถึงแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media และ Earned Media บน Facebook, TikTok และ YouTube |
Follower : จำนวนผู้ติดตามของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media บน Facebook, Instagram, TikTok และ X |
Subscriber : จำนวนผู้ติดตามของแบรนด์บน YouTube | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media บน YouTube |
Daily Unique Messages: จำนวนบัญชีผู้ใช้งานบนโซเชียลมีเดียที่พูดถึงแบรนด์ใน 1 วันแบบไม่ซ้ำบนโซเชียลมีเดีย | เก็บข้อมูลในช่องทาง Earned Media บน Facebook, Instagram และ X |
Photo : จำนวนโพสต์ประเภทรูปภาพที่เกิดขึ้นบน Instagram ของแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media บน Instagram |
Reel : จำนวนของวิดีโอประเภท Reel ที่เกิดขึ้นบน Instagram ของแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media บน Instagram |
Like : จำนวนการกด Like จากบัญชีผู้ใช้งานอื่นบนโซเชียลมีเดีย ที่พูดถึงแบรนด์ Like : จำนวนการกด Like ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media และ Earned Media บน Instagram, TikTok, X และ YouTube |
View : จำนวนครั้งที่มีการดูวิดีโอบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์ จำนวนครั้งที่มีการดูวิดีโอที่กล่าวถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media และ Earned Media บน Instagram, TikTok และ YouTube |
Repost : จำนวนการ Repost ที่เกิดขึ้นบน X ของแบรนด์ จำนวนการ Repost จากบัญชีผู้ใช้งานอื่นบน X ที่พูดถึงแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media และ Earned Media บน X |
Quote : จำนวนการ Quote ที่เกิดขึ้นบน X ของแบรนด์ Quote : จำนวนการ Quote จากบัญชีผู้ใช้งานอื่นบน X ที่พูดถึงแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media และ Earned Media บน X |
Reply : จำนวนการ Reply ที่เกิดขึ้นบน X ของแบรนด์ จำนวนการ Reply จากบัญชีผู้ใช้งานอื่นบน X ที่พูดถึงแบรนด์ | เก็บข้อมูลในช่องทาง Owned Media และ Earned Media บน X |
เมตริกสำคัญอื่น ๆ ที่สามารถวัดผลได้บน Social Metric
Social Metric เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรายงานผลและวิเคราะห์ Key Metrics สำคัญ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นค่าที่ทำให้รู้ว่าแบรนด์ทำได้ดีมากพอหรือยังเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ยกตัวอย่างเช่น
เส้นมาตรฐาน หรือ Benchmark ใน Social Metric
Benchmarking คือ เส้นกราฟที่แสดงค่าเฉลี่ยของการมีส่วนร่วมทั้งอุตสาหกรรม หรือ Avg. Industry Engagement ทั้งในฝั่งของแบรนด์เราเองและคู่แข่ง ทำให้เห็นช่องว่างระหว่างเรากับคู่แข่งหรือที่เรียกว่า Benchmark ได้อย่างชัดเจน ซึ่งวิธีการดูเส้น Benchmark นี้ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เปิดดูแดชบอร์ด (Performance Dashboard) ของ Social Metric ก็จะเห็นกราฟเปรียบเทียบได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ส่องประสิทธิภาพของแบรนด์คู่แข่งแบบเจาะจงเฉพาะแบรนด์ได้อีกด้วย

จากตัวอย่าในรูปภาพที่เป็น Real Estate Brand หนึ่งซึ่งทำผลลัพธ์ได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมตลอดทั้งปี แต่เราจะเห็นจุดที่น่าสนใจอยู่ช่วงหนึ่งที่กราฟสูงกว่าส่วนอื่น นั่นคือช่วงเดือน ต.ค. ที่เทรนด์ของอุตสาหกรรมกำลังตก แต่แบรนด์นี้กลับมีประสิทธิภาพมากขึ้นสวนทางกับเทรนด์ แม้ว่าผลลัพธ์จะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่ก็เป็นจุดที่สวนทางอย่างมีนัยควรนำกลับไปศึกษาเพิ่มเติมว่า เกิดขึ้นได้เพราะอะไรแล้วแบรนด์ควรทำอย่างไรต่อเพื่อพลิกเกมให้แบรนด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น จนสามารถมีขึ้นทัดเทียมหรือดีกว่าคู่แข่งได้แบบไม่ต้องลองผิดลองถูก
ค่า “Brand Score” หรือค่าพลังของแบรนด์
Brand Score คือ คะแนนภาพรวมของประสิทธิภาพแบรนด์ สามารถใช้คะแนนนี้เพื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งได้ว่า ใครทำได้ดีกว่ากัน โดยดูได้จากค่าของ Brand Score หากแบรนด์ไหนทำได้คะแนนสูงกว่าก็แสดงว่าในช่วงนั้นแบรนด์ทำผลงานได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด

จากตัวอย่างในภาพเป็นการนำ Brand Score ของแบรนด์ตัวเอง (Brand B) มาเทียบกับคู่แข่ง (Brand A) ซึ่งจะเห็นได้ว่า Brand B มี Brand Score ที่น้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Brand A จึงควรที่จะไปเจาะลึกข้อมูลในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติมว่าคู่แข่งทำ Performance ได้ดีนั้นเขาทำอย่างไร ทำได้ดีในช่องทางไหน เราควรปรับปรุงอย่างไรให้สามารถตีตื้นขึ้นไปได้บ้าง
สรุป
Key Metrics เป็นตัวชี้วัดที่นักการตลาดจะละเลยไปไม่ได้เลย เพราะสามารถบอกได้ตั้งแต่ผลของการทำแคมเปญไปจนถึงการวัดประสิทธิภาพการทำงานของแบรนด์ ทำให้เราทราบถึงภาพรวมว่าระหว่างแบรนด์เรากับคู่แข่งว่าทำ Performance เป็นอย่างไร จุดไหนที่ยังสามารถปรับปรุงพัฒนา จุดไหนที่ควรต่อยอด แล้วจุดที่ควรพัฒนาต่อยอด และควรเลือกทำในทิศทางใดจึงจะดีที่สุด
หากสนใจเครื่องมือที่สามารถดูผลลัพธ์ของ Key Metrics บนโซเชียลมีเดียแบบละเอียด >> ดูรายละเอียดได้เลยที่นี่ <<