ปัจจุบันธุรกิจทุกประเภทล้วนมีคู่แข่ง สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจของเราโดดเด่นเหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันคือ “การทำ Branding” เพื่อเป็นที่จดจำของลูกค้า เมื่อเป็นที่จดจำก็มีโอกาสที่จะถูกพูดถึงมากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า การสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือ Brand Awareness ที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการสื่อสารหรือทำการตลาดด้วยรับรู้ได้ว่าแบรนด์มีตัวตน และต่อยอดสู่การขายหรือการสร้าง Conversion ได้มากขึ้นในอนาคต

แต่การทำ Branding ให้เป็นที่รู้จัก หรือนำไปสู่การสร้างรายได้สำหรับธุรกิจได้จริง นอกจากจะทุ่มเทกับการวางแผนการตลาด (Marketing Strategy) เพื่อทำให้เกิดกิจกรรมตามเป้าหมายที่ต้องการแล้ว การวัดผลลัพธ์ของแบรนด์ (Brand Measurement) ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะนี่คือ ตัวชี้วัดที่ใช้วัดความสำเร็จ (Key Metric) ที่จะบอกให้แบรนด์ทราบได้ว่า สิ่งที่แบรนด์ทำนั้นเรียกว่า ดีพอหรือยัง และถ้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว เรากำลังนำหน้าหรือตามหลังคู่แข่งอยู่ในสนามนี้กันแน่

Branding

แม้การทำ Branding จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่องค์กรของคุณสามารถเริ่มต้นการทำ Branding ได้ด้วยข้อมูลที่เรานำเสนอให้ทราบกันในบทความนี้ เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งเรารวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องไว้ที่นี่ เช่น Branding คืออะไร ขั้นตอน องค์ประกอบ และวิธีวัดผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพด้วยแพลตฟอร์มที่แม่นยำอย่าง Social Metric ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไร ตามไปดูพร้อม ๆ กันได้เลย

Branding คืออะไร

Branding คือ การสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนจดจำ โดยการทำ Branding ไม่ใช่เพียงการสร้างชื่อแบรนด์ที่จำได้ง่ายหรือการออกแบบโลโก้ที่ดูโดดเด่น แต่ครอบคลุมไปถึงการกำหนดเป้าหมายของการทำแบรนด์ สิ่งที่แบรนด์ให้คุณค่า และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดนี้ทำเพื่อสรุปรวมความเป็นแบรนด์ของธุรกิจให้ลูกค้าเห็นและสร้างแบรนด์ให้เป็นภาพจำที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงทำให้แบรนด์เข้าไปนั่งอยู่ในใจของกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น จึงกล่าวได้ว่า Branding คือ สิ่งที่ต้องใช้ทั้งการวางแผน (Strategy) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ไปพร้อม ๆ กัน

Branding VS Marketing

Branding และ Marketing อาจมีความคล้ายคลึงกันในเชิงสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) เพื่อให้กลุ่มผู้บริโภครู้จักมากขึ้น แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องของเป้าหมาย โดยเป้าหมายของ Branding คือ การสร้างภาพจำของแบรนด์ให้กับลูกค้า เพื่อให้ได้รับการจดจำในระยะยาว พร้อมสื่อสารกับลูกค้าว่า คุณคือใคร และธุรกิจเป็นอย่างไร 

ในขณะที่การทำการตลาด หรือ Marketing มักมีจุดประสงค์สำคัญคือ การเพิ่มยอดขาย เน้นไปที่การโฆษณาสินค้าหรือบริการของแบรนด์มากกว่า นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Branding Marketing คือ การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่การสร้างและเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค มากกว่าการขายสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว เป็นการผสมผสานระหว่าง Branding และ Marketing นั่นเอง

องค์ประกอบของ Branding ที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญ

Branding คืออะไร

หากอยากเริ่มต้นสร้างแบรนด์ องค์ประกอบที่สำคัญของ Branding คือสิ่งเหล่านี้

ชื่อแบรนด์และโลโก้ (Name and Logo) 

การคิดชื่อและโลโก้ (Name and Logo) เป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับ Branding ดังนั้น ทั้งสองส่วนจึงควรมีความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน เพื่อให้คนจดจำได้ง่ายแต่ก็ต้องมีจุดเด่นที่แตกต่างกับธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งในปัจจุบันนี้โลโก้และชื่อแบรนด์ไม่ได้มีความสำคัญในแง่ของการบ่งบอกตัวตนหรือสร้างการจดจำเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญในการนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมได้ด้วย เช่น การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด หรือ AI Marketing มาวิเคราะห์โลโก้ของแบรนด์ด้วย Social Listening โดยหาได้ว่ามีโลโก้ของแบรนด์ปรากฎที่ใดบ้างและถูกพูดถึงในแง่ใด ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ได้ครอบคลุมและสะดวกสบายเพียงแค่มีโลโก้ของแบรนด์อยู่ในรูปภาพที่ถูกโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดีย 

คุณค่าของแบรนด์และตัวตัวของแบรนด์ (Brand Values and Brand Identity) 

คุณค่าของแบรนด์ (Brand Value) คือ สิ่งที่กำหนดตัวตนของการทำ Branding ธุรกิจจึงควรจะมีข้อกำหนดชัดเจนว่าให้ความสำคัญกับสิ่งใดเพื่อกำหนดทิศทางของแบรนด์ รวมถึงกำหนดวิธีที่จะสื่อสารกับลูกค้าด้วย เช่น กำหนดว่ากระบวนการผลิตของแบรนด์จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน เพื่อให้เป็นสินค้าบริการที่กลุ่มรักษ์โลกซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์หันมาใช้สินค้าและบริการ หรือการพยายามทำให้สินค้าและบริการของแบรนด์มีราคาไม่แพงมากเกินไปเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น เป็นต้น

ส่วนตัวตนของแบรนด์ (Brand Identity) คือ อัตลักษณ์ของแบรนด์ที่ลูกค้าเห็น เป็นการสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ให้ลูกค้ารับรู้ผ่านทางโลโก้ สี ชื่อแบรนด์ และอื่น ๆ ให้ผู้บริโภคสามารถนึกถึงแบรนด์ได้ในทันทีที่เห็น เช่น การเห็นสีน้ำเงิน สีขาว และสีแดง อาจทำให้นึกถึงน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง

สารที่ต้องการสื่อและการวางตำแหน่งแบรนด์ (Messaging and Positioning) 

ตำแหน่งแบรนด์ (ฺBrand Positioning) ​คือ คุณค่าหรือจุดยืนของแบรนด์ที่ทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่ง ส่วนสารของแบรนด์ (Brand Message) คือ สิ่งที่จะสื่อออกไปถึงลูกค้าเพื่อโปรโมตคุณค่าและจุดยืนของแบรนด์ 

โดยการกำหนดตำแหน่งแบรนด์จะต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย หมวดหมู่สินค้าบริการ และข้อได้เปรียบที่ทำให้เราโดดเด่นจากคู่แข่งอื่น ๆ เช่น แบรนด์หรูหราที่ใช้เพียงวัตถุดิบระดับพรีเมียม แบรนด์ที่เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางด้วยราคาที่ไม่แพงมากเกินไป ฯลฯ เมื่อมีตำแหน่งแบรนด์ที่เหมาะสมก็มีโอกาสสูงที่ทำให้ลูกค้าเกิดความภักดีในแบรนด์ (Brand Loyalty) เพราะแบรนด์ของเรามีความพิเศษกว่าคู่แข่งอื่น ๆ และน่าใช้บริการด้วยอีกครั้ง เป็นต้น

ประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) 

สร้างเสริมประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) ที่มีต่อแบรนด์ให้ดีที่สุด โดยเข้าใจปัญหาของลูกค้า (Pain Point) เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ตรงจุดหรือนำเสนอสินค้าบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น 

วิธีการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่งคือ ทำธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ทำให้การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่มีอยู่หลากหลายช่องทาง หรือที่เรียกว่า Omichannel ซึ่งจะช่วยให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลของลูกค้าคนหนึ่งในทุกแพลตฟอร์ม เช่น สามารถสะสมแต้มติดต่อได้ไม่ว่าจะซื้อผ่านออนไลน์หรือออฟไลน์ มีประวัติการซื้อทุกแพลตฟอร์มในระบบ เป็นต้น

วิธีการที่แบรนด์ใช้สื่อสาร (Brand Communication) 

การสื่อสาร Branding ออกไปให้ลูกค้ารับรู้ถึงตัวตนของธุรกิจ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อมีการส่งสารออกไปเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องคอยดูผลตอบรับจากลูกค้า สามารถสื่อสารได้ตรงจุดและเข้าใจตรงกันหรือไม่ ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกแง่ลบหรือแง่บวก เพื่อให้สามารถพัฒนาวิธีสื่อสารได้ต่อไป

สินค้าและบริการ (Products or Services) 

ระบุสินค้าหรือบริการ (Products or Services) ที่ธุรกิจขายให้แก่ลูกค้าอย่างชัดเจน โดยต้องรู้ว่าขายอะไร ขายเพื่อใคร และจะขายอย่างไร

การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) 

การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความภักดีของลูกค้าต่อแบรนด์ ให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าและบริการอีกครั้งในระยะยาว หากยิ่งมีความสัมพันธ์ที่ดี แบรนด์ของเราก็จะอยู่ในตลาดได้นานยิ่งขึ้น
เพิ่มเติม: สามารถศึกษาองค์ประกอบของการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้าที่ดีได้ใน CRM

ความสำคัญของการทำแบรนด์องค์กร (Corporate Branding)

การสร้าง Branding ประกอบด้วยอะไรบ้าง

Corporate Branding คือ เอกลักษณ์ความเป็นองค์กร โดยจะต้องรวมวิสัยทัศน์ เป้าหมาย คุณค่า ไปจนถึงพันธกิจ เพื่อสร้างตัวตนที่ชัดเจนออกมาให้คนในองค์กรรับรู้และสื่อสารไปยังลูกค้าได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น ความสำคัญของการทำ Branding สำหรับองค์กร คือ

  • เพิ่มความภักดีต่อแบรนด์และความเชื่อใจของลูกค้า – ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์และเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงให้ความไว้วางใจธุรกิจของเรามากกว่าคู่แข่ง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสซื้อสินค้าและบริการอื่น ๆ ในอนาคตเพราะความภักดีต่อแบรนด์ได้ด้วย
  • ทำให้องค์กรแตกต่างจากคู่แข่ง – ช่วยให้ธุรกิจของเราดูโดดเด่นออกมาจากคู่แข่งและเป็นที่จดจำจากการวางตำแหน่งแบรนด์ที่เหมาะสม ยิ่งมีสินค้าและบริการมากยิ่งต้องคิดคำนึงถึงหัวใจหลักที่ทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่งในหลายแง่มุม เช่น ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น การให้บริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าแม้แต่เรื่องเล็กน้อย เป็นต้น
  • เพิ่มคุณค่าของแบรนด์และการตลาด – เพิ่มคุณค่าของแบรนด์ในสายตาของลูกค้า และช่วยให้ทำการตลาดได้ง่ายและทั่วถึงมากขึ้น 
  • ได้รับการพูดถึงปากต่อปากในแง่ดี – มีชื่อเสียงที่ดีในหมู่ลูกค้าด้วยการบอกปากต่อปาก ซึ่งเป็นรูปแบบของการทำการตลาดที่ทรงพลังรูปแบบหนึ่ง เพราะแบรนด์จะถูกพูดถึงในแง่บวกจากเสียงของลูกค้าจริง ๆ มีการรีวิวแบรนด์จากผู้ใช้จริงทำให้ชื่อเสียงขององค์กรดีมากขึ้นนั่นเอง
  • การโฆษณาได้ผลดีมากขึ้น – เมื่อทำการตลาดใด ๆ มีโอกาสที่จะได้ผลกับลูกค้ามากยิ่งขึ้นหากเป็นแบรนด์ที่ได้รับการจดจำและน่าเชื่อถือ และถ้าแบรนด์ที่มีสินค้าหลากหลายก็อาจทำให้สินค้าแต่ละชิ้นติดตลาดได้ง่ายมากขึ้นจากความภักดีต่อแบรนด์ของลูกค้า

ขั้นตอนการสร้างแบรนด์สำหรับองค์กร (Corporate Branding)

ขั้นตอนการสร้างแบรนด์สำหรับองค์กร (Corporate Branding) คือ

วิเคราะห์หรือวิจัยตลาด (Market Analysis หรือ Market Research) 

วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากผู้บริโภคด้วยการทำ Market Research อย่างการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรม หรือความต้องการของลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

ระบุอัตลักษณ์และพันธกิจ (Define Identity and Mission) 

ระบุตัวตนและพันธกิจให้ชัดเจนว่าธุรกิจมีแผนดำเนินงานอย่างไรให้ไปถึงเป้าหมายที่ประสงค์ โดยต้องกำหนดชัดเจนว่า องค์กรของเรามีขึ้นเพื่ออะไร ความสำคัญขององค์กรตอบโจทย์ของกลุ่มเป้าหมายกลุ่มไหน ซึ่งอัตลักษณ์และพันธกิจมักจะเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเป็นหัวใจหลักขององค์กรนั้น ๆ

ออกแบบโลโก้และสี (Design Logo and Colors) 

ออกแบบโลโก้และสีประจำแบรนด์ เป็นการทำอัตลักษณ์แบรนด์ (Corporate Identity Brand หรือ CI Brand) เช่น หากธุรกิจใช้สีฟ้าเป็นหลัก สื่อต่าง ๆ ที่ใช้สื่อสารกับลูกค้าก็ควรใช้สีฟ้าเป็นธีมหลักเพื่อให้ลูกค้าเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้กับแบรนด์ธุรกิจ

คิดสารและวิธีสื่อสาร (Craft Messaging and Communication) 

คิดสารและวิธีการสื่อสารไปยังลูกค้าให้ดีว่าต้องการสื่อไปในทิศทางใดและสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าแบบใดเพื่อรักษาให้ชื่อเสียงของแบรนด์เป็นเชิงบวกเสมอ รวมถึงทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือและยังเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าผ่านการโต้ตอบกับแบรนด์ทางโซเชียลมีเดีย

ทำการตลาดและโฆษณา (Marketing and Promotion) 

ทำการตลาดและโฆษณาต่าง ๆ ให้แบรนด์เป็นที่พบเห็นมากขึ้น เช่น ทำแคมเปญตามฤดูกาล จัดโปรโมชันพิเศษ การโฆษณาผ่าน Facebook หรือ Google เพื่อให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นและเป็นการเพิ่มยอดขายไปพร้อม ๆ กัน

เสริมสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ (Create Customer Experience) 

มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเพื่อให้ลูกค้ามีมุมมองที่ดีต่อแบรนด์ โดยอาจทำผ่านช่องทางติดต่อแบรนด์ แก้ปัญหาเกี่ยวกับสินค้า ให้บริการที่ดีแก่ลูกค้า เสริมสร้างความสัมพันธ์ต่อแบรนด์ให้เหนียวแน่นมากขึ้น

วัดผลลัพธ์และปรับปรุง (Measure and Adjust) 

วัดผลและปรับปรุง Branding จากข้อมูลทางการตลาดต่าง ๆ เพื่อให้สามารถสร้างเอกลักษณ์น่าจดจำและทำการตลาดที่ดีมากยิ่งขึ้นในอนาคต สำหรับการทำ Branding การวัดผลผ่านชื่อเสียงในสื่อโซเชียลต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อตรวจสอบว่าชื่อเสียงของแบรนด์เป็นแง่บวกหรือแง่ลบซึ่งอาจแตกต่างตามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (Building Relationships) 

เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าระยะยาว ด้วยการสร้างฐานลูกค้าและเพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ คอยแก้ปัญหาที่ลูกค้าพบเจอ หรือใช้ระบบจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า CRM (Customer Relationship Management) ตัวอย่าง CRM เช่น ระบบสะสมแต้ม เพิ่มโอกาสให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ ฯลฯ

วัดผลลัพธ์การทำ Branding ได้อย่างไร

วัดผลลัพธ์การทำ Branding ได้จากอะไร

ข้อสำคัญหนึ่งหลังจากเริ่มต้นทำ Branding  คือ ควรวัดผลลัพธ์ของแผนที่วางไว้ได้อย่างชัดเจน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สามารถนำมาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น แต่ตัวแปรที่ใช้วัดผลลัพธ์นั้นมีมากมาย อีกทั้งยังแตกต่างไปตามสื่อโซเชียลมีเดียในแต่ละแพลตฟอร์ม  ไม่ว่าจะเป็น Facebook, IG, Tiktok, X หรือ YouTube การรวมข้อมูลทั้งหมดด้วยตนเองอาจไม่ใช่เรื่องง่าย และอุปสรรคอีกข้อหนึ่งที่อาจพบเจอเลยก็คือ การที่ไม่มีเกณฑ์ที่ได้มาตรฐานซึ่งแสดงให้แบรนด์เห็นว่าสิ่งที่แบรนด์กำลังทำอยู่นั้นทำได้อยู่ระดับใดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง หรือเทียบกับค่าเฉลี่ยของแบรนด์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ซึ่งการแก้ปัญหาในเรื่องนี้คือ การมีเครื่องมือที่ช่วยในการวัดผลลัพธ์ของแบรนด์บนโซเชียลมีเดียที่น่าเชื่อถือ และมีการเก็บข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมแสดงผลให้ดูได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะวางกลยุทธ์การทำ Branding ให้สามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างรวดเร็ว 

 Social Metric คือ แพลตฟอร์มที่ช่วยให้เราสามารถติดตามผลลัพธ์ของแบรนด์บนโซเชียลมีเดียได้ โดยสามารถใช้ดูผลงานของแบรนด์เราเอง (Brand Performance), ใช้ดูประสิทธิภาพของแบรนด์คู่แข่ง และยังมีเกณฑ์เปรียบเทียบ (Benchmark) ของอุตสาหกรรมเดียวกันที่ช่วยทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า แบรนด์ของเราเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมโดยรวมแล้วมีผลลัพธ​์เป็นอย่างไร ทำได้ดีหรือไม่ เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วใครกันแน่ที่นำหน้าอยู่ในสนามแห่งนี้ 

ซึ่ง Social Metric จะช่วยวัดผลลัพธ์ของการทำ Branding ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากข้อมูลที่ระบบทำการคำนวณมาให้ต่อเนื่องในทุก ๆ เดือนกว่า 60 จุดข้อมูล และยังคำนวณต่อไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งปีกว่า 800 จุดข้อมูล ในหลายแง่มุม เช่น ข้อมูลแสดงค่าพลังปัจจุบัน, ข้อมูลแสดงค่าพลังก่อนหน้า, ค่าพลังสูงสุดที่แบรนด์ ทำได้, ค่าพลังอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย ฯลฯ 

ยกตัวอย่างวิธีการวัดผลการทำ Branding ด้วย Social Metric

Social Metric มีค่าการวัดผลสำหรับใช้เป็นข้อมูลในการทำ Branding หลายรูปแบบด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น

social-metric-branding

ผลลัพธ์ที่ใช้ในการดูภาพรวมของแบรนด์  

  • Brand Score คือ ค่าเฉลี่ยโดยรวมของแบรนด์ที่หากแบรนด์ไหนมี Brand Score สูง แสดงว่าในช่วงนั้นแบรนด์ทำผลงานได้ดีเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
  • Owned Score คือ คะแนนจากช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์เอง (Owned Channel)
  • Earned Score คือ คะแนนจากโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของแบรนด์แต่มีการพูดถึงแบรนด์ (Earned Channel)
  • Sentiment Score คือ คะแนนที่สามารถใช้ดูได้ว่าแบรนด์กำลังถูกพูดถึงในแง่บวกหรือแง่ลบ เมื่อนำคะแนนเหล่านี้วิเคราะห์เราก็สามารถรู้ได้ว่าภาพลักษณ์แบรนด์ในตอนนี้เป็นอย่างไร ผู้บริโภครู้สึกกับแบรนด์อย่างไรบ้าง

ใช้ดูการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค (Engagement) 

นอกจากจะสามารถเทียบได้ว่าลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ช่วงใดเป็นพิเศษ ยังตรวจสอบได้ด้วยว่ายอดการมีส่วนร่วมของแบรนด์ (Engagement) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้นเป็นอย่างไร 

branding-engagement

ซึ่งเส้นประสีเทาในภาพคือ ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกันที่แบรนด์สามารถใช้เปรียบเทียบได้ว่า แบรนด์ทำได้ดีแค่ไหน ยังตามหลังค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่หรือไม่ มีช่วงไหนที่ทำได้ดีบ้าง และยังสามารถเจาะรายละเอียดต่อได้ด้วยว่า ในช่วงเวลานั้นแบรนด์ทำแคมเปญอะไรที่ทำให้ได้รับการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งอุตสาหกรรม

Engagement by channel ที่อยู่บน Social Metric ดูได้ครบ 5 ช่องทาง คือ Facebook, Instagram, TikTok, X และ YouTube
ข้อมูลที่แสดงผลบน Social Metric เป็นข้อมูลในช่วงปี 2023

ใช้ดูยอดการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคแยกตามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย 

คุณสามารถนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ว่าควรเน้นทำ Branding ในแพลตฟอร์มใดจึงจะได้ผลดีที่สุด ด้วยการดูข้อมูลผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่แบรนด์สามารถทำได้บนโซเชียลมีเดียในแต่ละแพลตฟอร์ม 

ตัวชี้วัดที่สามารถดูได้แยกในแต่ละแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ Social Metric ยังสามารถแสดงผลลัพธ์ของข้อมูลที่คำนวณเฉพาะในแต่ละแพลตฟอร์มให้เห็นได้ว่าผลลัพธ์ไหนที่แบรนด์ทำได้ดีบ้าง ยกตัวอย่างเช่น สำหรับแพลตฟอร์ม Instagram จะแสดงข้อมูลจำนวนรูปภาพ, คลิปสั้น (Reels), ยอดไลก์, ความคิดเห็น, ยอดเข้าชม, ยอดผู้ติดตาม นอกจากนี้ยังสามารถดูผลลัพธ์ของแต่ละโพสต์ได้ และ Social Metric ยังแสดงผลออกมาเป็นกราฟจากข้อมูลเหล่านั้นเพื่อให้ดูข้อมูลได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่ Social Metric ทำได้เท่านั้น แพลตฟอร์มของเรายังมีข้อมูลอื่น ๆ อีกมากมายที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับการทำ Branding เริ่มต้นใช้งานหรือศึกษาข้อมูลที่แสดงผลบน Social Metric เพิ่มเติมได้เลยที่ วิธีการวัดประสิทธิภาพของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย (Social Media Metrics) สำหรับทำ Social Media Performance Report แบบง่าย ๆ [ดูตัวอย่างการใช้งาน]  

สรุป

การทำ Branding คือ สิ่งสำคัญโดยเฉพาะในธุรกิจระดับองค์กรที่ขาดไม่ได้หากอยากโดดเด่นออกมาจากคู่แข่งและเป็นที่จดจำ องค์ประกอบเพื่อทำ Branding ให้มีประสิทธิภาพมีหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ การมีข้อมูลและตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้จากการรวบรวมข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพราะจะทำให้สามารถต่อยอด Branding ได้มากขึ้น เข้าหากลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น หากใช้ Social Metric การรวมข้อมูลเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป