ในยุคที่แทบจะทุกกระเบียดนิ้วของอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีการแข่งขันที่สูง และความต้องการของผู้บริโภคซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกชั่วขณะ การมีภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแรงจึงมีความสำคัญสำหรับธุรกิจทุกรูปแบบ เพื่อทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างกลุ่มคู่แข่ง และให้แบรนด์สามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด รวมถึงสามารถทำการวัดผลและนำไปสู่เป้าหมาย (Goals) ที่วางเอาไว้ได้
แล้วถ้าอยากจะวาง Brand Strategy แบบมีประสิทธิภาพจะต้องรู้อะไรบ้าง และทำการวัดผลกลยุทธ์แบบแม่นยำนั้นต้องทำอย่างไร มาดูคำตอบจากทีมผู้เชี่ยวชาญอย่าง Wisesight Research ไปพร้อม ๆ กันดีกว่า
Brand Strategy คืออะไร
Brand Strategy คือ การวางแผนสร้างแบรนด์ในเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้แบรนด์ดูชัดเจนและแตกต่าง โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้แบรนด์แข็งแรง เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น พร้อมกับช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับลูกค้า และสามารถนำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ในระยะยาวได้
ดังนั้น การทำกลยุทธ์การสร้างแบรนด์จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายมองเห็นคุณค่าในตัวแบรนด์ และรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาวได้ ซึ่งการที่จะวางแผนกลยุทธ์ให้กับแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะต้องรู้ก่อนว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ช่วยให้การวางแผนประสบความสำเร็จ
องค์ประกอบของ Branding Strategy ที่ควรรู้เพื่อสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จ
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าองค์ประกอบของ ‘แบรนด์’ นั้นคือส่วนที่มองเห็นและจับต้องได้ อย่างการออกแบบแพ็คเกจสินค้า, ดีไซน์ตัวสินค้า หรือโลโก้ ซึ่งจริง ๆ แล้วความเป็นแบรนด์นั้นมีทั้งส่วนที่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ โดยเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์ สิ่งที่แบรนด์ต้องการจะทำเพื่อผู้บริโภค และความรู้สึกตอนใช้บริการเองก็ถือเป็นตัวอย่างของความเป็นแบรนด์เช่นกัน
ดังนั้น Brand Strategy ของนักการตลาดจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย หากขาดการพิจารณาองค์ประกอบเหล่านี้อย่างครอบคลุม โดยประกอบไปด้วย:
- เป้าหมาย (Purpose): การกำหนดพันธกิจ (Mission) และหน้าที่ที่ต้องทำระหว่างทางในการบรรลุวิสัยทัศน์ (Vision) โดยเป้าหมายที่ชัดเจนจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ดีของกลุ่มคน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กร ส่งผลให้การทำงานภายในสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และเป็นรากฐานให้กับภาพลักษณ์ที่แตกต่างขององค์กร
- ความสม่ำเสมอ (Consistency): Brand Strategy ที่แข็งแรงต้องมาจากการสร้างภาพลักษณ์ที่มีความสม่ำเสมอ เช่น การใช้ Key Message หรือสโลแกนที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ขององค์กรในทุกช่องทางการสื่อสารของแบรนด์
- อารมณ์จากการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ (Emotion): ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าหนึ่งกลุ่มเลือกซื้อรถจากแบรนด์ A แทนที่จะเป็นแบรนด์ B ทั้ง ๆ ที่มีราคา และ Performance ที่คล้ายกันอาจเป็นเพราะแบรนด์ A มีดีไซน์ที่ดูหรูหราซึ่งตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าดังกล่าว ดังนั้น การสร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างด้วยปัจจัยที่กระตุ้นอารมณ์ของลูกค้าจึงเป็นอีกกุญแจสำคัญที่ส่งผลกับการเลือกใช้แบรนด์ต่าง ๆ ของผู้บริโภค
- ความยืดหยุ่น (Flexibility): การวางแผนให้กับแบรนด์ควรเหลือพื้นที่ให้กับความยืดหยุ่นเสมอ โดยในบางทีแบรนด์อาจจะต้องเลือกทำอะไรที่ไม่ตรงกับภาพลักษณ์เพื่อคงไว้ซึ่งความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเดิม หรือเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ
- การมีส่วนร่วมของพนักงาน (Employee Involvement): พนักงานคือหนึ่งในปราการด่านแรกที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์ด้วย สิ่งที่พนักงานสื่อสารก็เท่ากับเป็นสิ่งที่แบรนด์สื่อสาร โดยการเทรนด์กลุ่มพนักงานเพื่อสร้างมาตรฐานในการบริการ ซึ่งจะช่วยในการสร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่าง และกระตุ้นความอยากใช้แบรนด์ของกลุ่มลูกค้าได้เช่นกัน
- กลุ่มลูกค้าที่จงรักภักดีกับแบรนด์ (Loyalty): แบรนด์ควรมุ่งเน้นการสร้างกลุ่มลูกค้าที่มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Customer Loyalty) ให้แข็งแรง เนื่องจากกลุ่มลูกค้าดังกล่าวคือคนที่บอกเล่าเรื่องราวที่ดีเพื่อสร้างเสียงเชิงบวกให้กับแบรนด์ นำไปสู่ภาพลักษณ์ที่แตกต่างและแข็งแรง
- การตระหนักรู้ถึงการแข่งขันรอบตัว (Competitive Awareness): สุดท้ายแบรนด์ต้องคอยมอนิเตอร์ และเรียนรู้ Brand Strategy ของคู่แข่งอยู่ตลอดเวลาเพื่อการปรับตัวให้ทันท่วงที และคงไว้ซึ่งความแตกต่าง โดย Wisesight ได้มี tools อย่าง Zocial Eye และ Trends เพื่อใช้ในจับตาดูคู่แข่งอย่างใกล้ชิด ให้แบรนด์ได้ปรับตัวนำคู่แข่งก่อนหนึ่งก้าวเสมอ
Branding Strategy มีอะไรบ้าง
Brand Strategy นั้นมี Framework ให้นักการตลาดได้เลือกใช้มากมายหลายแบบ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความแตกต่าง และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ โดย Framework ที่ได้รับความนิยมนั้นมีทั้งหมด 5 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
- Brand Positioning Strategy
- Brand Communication Strategy
- Customer Relationship Management Strategy
- Brand Loyalty Strategy
- Brand Experience Strategy
Brand Positioning Strategy
Brand Positioning Strategy คือ ส่วนหนึ่งของ Brand Strategy ที่เน้นไปที่การวางตำแหน่งแบรนด์ในตลาดให้โดดเด่น และเป็นที่จดจำในใจของลูกค้า โดยเป้าหมายของ Brand Positioning Strategy คือ การทำให้แบรนด์มีตำแหน่งที่ชัดเจน และแตกต่างจากคู่แข่งในสายตาของผู้บริโภค นำไปสู่การสื่อสารที่มีเป้าหมายชัดเจน ช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถเข้าใจ และเชื่อมั่นในคุณค่าที่แบรนด์มอบให้ได้อย่างยั่งยืน

ประเภทผลิตภัณฑ์ใหญ่ ๆ นั่นคือ กลุ่มเวชสำอาง และไม่ใช่เวชสำอาง
ในกรณีนี้ Brand A (เวชสำอาง) กำลังแข่งขันกับกลุ่มแบรนด์เวชสำอางด้วยกัน โดยเน้นการสื่อสารด้านผลลัพธ์เป็นหลัก (เช่น “…ลดจุดด่างดำได้ X%”)
ดังนั้น Brand A จึงมีสองทางเลือก นั่นคือ การเน้นภาพลักษณ์ของเวชสำอาง (เช่น ใช้ผู้เชี่ยวชาญมากขึ้นในการสื่อสาร) และเน้นสื่อสารให้ผลลัพธ์เด่นชัดขึ้นเพื่อสร้างความแตกต่าง หรือหันไปแข่งขันกับแบรนด์ F ด้วยการสื่อสารที่เน้นการป้องกันเป็นหลักแทน (เช่น “ปกป้องผิวได้ทั้งวัน..”)
Brand Communication Strategy
เมื่อวางตำแหน่งของภาพลักษณ์ที่แบรนด์อยากจะเป็นเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปของแบรนด์คือ การคิดเนื้อหาของการสื่อสารซึ่งสะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของแบรนด์ รวมถึงคุณค่าที่แบรนด์อยากมอบให้กลุ่มลูกค้าทั้งในด้านกายภาพและด้านอารมณ์ เพื่อนำไปสู่การรับรู้เชิงบวก การเชื่อมต่อกับแบรนด์ที่แข็งแรง และสร้างความภักดีกับกลุ่มลูกค้าได้ โดยตัวอย่างของเนื้อหาการทำ Brand Communication Strategy ประกอบไปด้วยการกำหนดคุณค่าของแบรนด์ใหม่ (หรือแบบเดิมแต่ชัดเจนในเรื่องจุดแข็งของแบรนด์มากยิ่งขึ้น) และแผนการสื่อสารภายใต้คุณค่านั้น ๆ ของแบรนด์


Customer Relationship Management Strategy
เมื่อแบรนด์ทำการสื่อสารและได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าของตนแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญต่อมาคือ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มลูกค้า และสร้างความภักดีในระยะยาว ซึ่งนั่นคือ Customer Relationship Management Strategy หรือ CRM Strategy โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ซึ่งการทำ CRM Strategy อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้าง หรือรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาวนั้นต้องคำนึงถึง 7 ปัจจัยสำคัญ:
- Customer Segmentation: แบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมและความต้องการ
- Personalization: มอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลผ่านสินค้า บริการ และการสื่อสาร
- Engagement: สร้างความสัมพันธ์ด้วยช่องทางโซเชียลมีเดีย อีเมล หรือกิจกรรม
- Loyalty Programs: โปรแกรมสะสมคะแนนหรือสิทธิพิเศษเพื่อเพิ่มความภักดี
- Data Management: เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อปรับกลยุทธ์
- Customer Support: ให้บริการหลังการขายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- Feedback Loop: เก็บความคิดเห็นลูกค้าเพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ
โดย Wisesight มี tools อย่าง Warroom ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าได้อย่างทันท่วงทีในทุกแพลตฟอร์ม
Brand Loyalty Strategy
ส่วน Brand Loyalty Strategy นั้นจะเน้นหนักไปที่การสร้างฐานกลุ่มลูกค้าที่มีความภักดี เพื่อกระตุ้นการกลับมาซื้อสินค้า การใช้บริการซ้ำ หรือเพื่อกระตุ้นการพูดถึงเชิงบวกในวงกว้าง เช่น โปรแกรมสะสมคะแนน สิทธิพิเศษ การส่งมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำ ซึ่งสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างและแข็งแรงให้กับแบรนด์ อย่างไรก็ดี แบรนด์ควรกำหนด “ระดับความภักดี” ของกลุ่มลูกค้าให้ได้ก่อนว่าอยู่ในประเภทไหน ซึ่งจะสามารถนำไปสู่การกำหนดเนื้อหา และกิจกรรมของ Loyalty Strategy ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระดับความภักดีของกลุ่มลูกค้านั้นประกอบไปด้วย:
- Switchers (ผู้เปลี่ยนแบรนด์ง่าย):
ลูกค้าที่ไม่มีความภักดีต่อแบรนด์ มักเลือกซื้อเพราะราคา โปรโมชัน หรือความสะดวก - Habitual Buyers (ผู้ซื้อจากความเคยชิน):
ลูกค้าที่ซื้อแบรนด์เดิมเพราะความสะดวกหรือความคุ้นเคย แต่ไม่ได้มีความผูกพันกับแบรนด์ - Satisfied Buyers (ผู้ซื้อที่พอใจ):
ลูกค้าที่พอใจกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์ และอาจซื้อซ้ำหากไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า - Liking the Brand (ผู้ชื่นชอบแบรนด์):
ลูกค้าที่รู้สึกเชื่อมโยงหรือชื่นชอบแบรนด์จากประสบการณ์ที่ดี แต่ยังไม่ถึงขั้นจงรักภักดี - Committed Buyers (ลูกค้าที่จงรักภักดี):
ลูกค้าที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแบรนด์ มักซื้อซ้ำ บอกต่อ และสนับสนุนแบรนด์อย่างต่อเนื่อง

Brand Experience Strategy
Brand Experience Strategy เป็นส่วนหนึ่งของ Branding Strategy ที่เน้นการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและมีคุณค่าสำหรับลูกค้า ผ่านการติดต่อและการปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ในทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) การสร้างประสบการณ์ที่ดีจะช่วยเสริมสร้างความภักดีและความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์
วัดความสำเร็จของการทำ Brand Strategy ได้อย่างไร
การวัดผลประสิทธิภาพของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์เองก็ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ โดยสามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงปริมาณ (Quantity) หรือเชิงคุณภาพ (Quality)
- เชิงปริมาณ (Quantity) คือ การดูระดับการพูดถึง (Social Mentions) และจำนวนของการปฏิสัมพันธ์ที่กลุ่มลูกค้ามีต่อแบรนด์หรือแคมเปญที่แบรนด์ทำในพื้นที่การสื่อสารต่าง ๆ เพื่อวัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์ในภาพรวม
การดูระดับการพูดถึงแบรนด์หรือแคมเปญที่แบรนด์ได้มีการทำออกไป รวมถึงการดูค่าปฏิสัมพันธ์ (Engagement) ที่เกิดขึ้นว่าคุ้มกับเงินลงทุนหรือไม่ และมีช่องทางไหนที่แบรนด์มีการพูดถึงมาก-น้อยแค่ไหน ซึ่งสามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพโดยรวมของ Brand Strategy ในการช่วยให้แบรนด์สร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่าง - เชิงคุณภาพ (Quality) คือ การดูคุณภาพของข้อความที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับแบรนด์หรือแคมเปญของแบรนด์ เช่น การดูทัศนคติ (Sentiment Analysis) ของลูกค้าว่ามีสัดส่วนข้อความเชิงบวกหรือลบเป็นอย่างไร และมีหัวข้อไหนบ้างที่แบรนด์ถูกพูดถึง นอกจากนี้ แบรนด์ยังสามารถสังเกตปริมาณการพูดถึง Key Message ของแคมเปญที่แบรนด์ทำเพื่อวัดผลเชิงคุณภาพได้เช่นกัน ซึ่งนักการตลาดสามารถใช้ผลลัพธ์นี้ในการปรับปรุงและพัฒนาภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้แตกต่าง เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
สรุปแนวทางและประโยชน์ของ Brand Strategy ในการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน
โดยสรุปแล้ว จุดประสงค์หลักของการทำ Brand Strategy คือการสร้างแบรนด์ให้แตกต่างอย่างแข็งแรงเพื่อที่จะสามารถตอบสนองต่อการแข่งขันที่เข้มข้นในอุตสาหกรรม และความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หัวใจหลักของแผนกลยุทธ์แบรนด์ที่ดี คือความสอดคล้องกับการเติบโต และวิสัยทัศน์ขององค์กร อารมณ์ที่คาดว่ากลุ่มเป้าหมายจะรู้สึกเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ รวมถึงความสม่ำเสมอในการสื่อสารที่ยังเหลือพื้นที่ไว้ให้ความยืดหยุ่น และแนวทางการสร้างหรือรักษาไว้ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่จงรักภักดีกับแบรนด์
อย่างไรก็ดี การทำ Brand Strategy ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว ก่อนที่จะเลือกใช้ เฟรมเวิร์ก หรือ เครื่องมือ ที่เหมาะสม นักการตลาดควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจบริบทของแบรนด์อย่างลึกซึ้ง นั่นคือ การประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของแบรนด์ วิเคราะห์จุดเด่นของคู่แข่ง และศึกษาความต้องการของผู้บริโภคที่สามารถตอบสนองได้ภายใต้ศักยภาพของแบรนด์ เมื่อเข้าใจบริบทเหล่านี้อย่างครบถ้วนแล้ว การเลือก เฟรมเวิร์ก หรือ เครื่องมือ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายจะช่วยให้แบรนด์สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความแตกต่างได้อย่างตรงจุด และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ซึ่งในปัจจุบัน Wisesight Research มีทีมผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงตัวชี้วัด (Metrics) เฟรมเวิร์ก และเครื่องมืออื่นๆ ที่เราเป็นเจ้าของโดยเฉพาะ ในการเปรียบเทียบจุดเด่น จุดด้อยระหว่างแบรนด์ รวมถึงทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพฤติกรรม และความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งเราทำการรวบรวมและสรุปผลออกมาทั้งในรูปแบบของเล่ม Brand Analysis และสามารถต่อยอดไปถึง Brand Communication Strategy Plan แบบเฉพาะให้กับกลุ่มลูกค้าของเรา

ผู้เขียน
Noppon Boonchan จากทีม Wisesight Research