เนื่องจากยุคปัจจุบันกระแสต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านข่าวสาร การทำงาน ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงการดำเนินชีวิต ล้วนเป็นไปอย่างฉับไวจากการมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำสิ่งต่างๆ 

โดยเฉพาะโลกดิจิทัลที่มีสื่อโซเชียลมีเดีย (Social Media) เป็นอาวุธสำคัญในการทำธุรกิจ การตลาด และการขาย ทำให้ตอนนี้มีข้อมูลจากการทำสื่อการตลาดออนไลน์ไหลผ่านไทม์ไลน์ (Timeline) บนแพลตฟอร์มต่างๆ ให้เสพจำนวนมาก แถมยังกลายเป็นประเด็นฮิตได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็หายไปได้ในชั่วข้ามคืนด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้เองก็ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคแปรผันตามความเร็วของหน้าฟีด และคนทำงานกับสื่อโซเชียลฯ เหล่านี้ก็จำเป็นที่จะต้องเดินเกมตามให้ทันด้วยเช่นกัน

ดังนั้น จะดีกว่าไหม? ถ้าเรารู้เท่าทันกระแสฮิต หรือที่หลายเรียกกันว่า “เทรนด์ (Trend)” ให้มากขึ้น รู้ว่า Trend คืออะไร สำคัญแค่ไหน และจะตามจับกระแสที่ไหลบ่าเช่นนี้เพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจได้อย่างไรบ้าง วันนี้มาเริ่มรู้จัก Trend ให้มากขึ้น และเรียนรู้ที่จะใช้งานกันเลยดีกว่า

Trend คืออะไร

ที่มาภาพ: linkedin

เทรนด์ (Trend) คือ สิ่งที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มคน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งเทรนด์ที่ว่านี้อาจจะเป็นกระแสที่คนพูดถึงโดยทั่วไป จนทำให้คนเกิดการพูดถึงและส่งต่อสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ในวงกว้าง เช่น ข่าว คลิปไวรัล ฯลฯ หรือเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนได้ เช่น เทรนด์ของแฟชันที่เมื่อเป็นกระแสแล้วคนจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเสื้อผ้าที่ใส่ตาม เป็นต้น 

ความสำคัญของเทรนด์ (Trend) ในการทำตลาดออนไลน์

ในเมื่อเทรนด์คือความสดใหม่ที่ผู้คนให้ความสนใจ และนำมาปฏิบัติตามเนื่องจากได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แบรนด์เองก็หยิบเอาเทรนด์มาใช้ทำประโยชน์ให้กับการทำธุรกิจได้มากยิ่งขึ้นผ่านการทำการตลาดด้วยกลยุทธ์ต่างๆ โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ที่มักจะนำเทรนด์มาใช้กับการทำการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่คนเข้าถึงง่าย และสร้างประโยชน์ให้กับแบรนด์ได้มหาศาล ดังนี้

เทรนด์ช่วยทำให้แบรนด์ดูทันสมัยและสดใหม่เสมอ

การมีอยู่ของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ทำให้แบรนด์จะต้องวิ่งตามกระแสที่คนให้ความสนใจในโลกออนไลน์ให้ทันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ แบรนด์ไหนที่ตามเทรนด์ได้ทันและนำเทรนด์เหล่านั้นมาใช้ในการทำการตลาดออนไลน์ได้ด้วยก็จะช่วยทำให้ผู้คนสนใจ ถูกพูดถึง เป็นแบรนด์ที่ดูทันสมัย และดูสดใหม่อยู่ตลอดเวลา 

ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Levi Strauss ซึ่งเป็นแบรนด์กางเกงยีนเดนิมที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1853 แต่ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่คงอยู่ได้ถึงปัจจุบัน เนื่องจากรู้จักการใช้เทรนด์เข้ามาช่วยทำให้แบรนด์ดูทันสมัยและสดใหม่ได้ตลอด อย่างการออกแคมเปญในช่วงโควิด-19 ด้วยการเปิดตัวซีรีส์คอนเสิร์ตระดมทุนบน Instagram ที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับศิลปะและบรรเทาทุกข์จากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ซึ่งเป็นประเด็นที่คนทั่วโลกให้ความสนใจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ที่มาภาพ: forbes

เทรนด์ช่วยส่งเสริมคุณค่าให้กับแบรนด์ในสายตาของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว

เชื่อว่าทุกแบรนด์มีเป้าหมายต้องการสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ (Brand Awareness) เพื่อทำให้ผู้คนรู้จักกับแบรนด์มากขึ้น และต้องการสร้างการมีส่วนร่วมให้กับแบรนด์ (Engagement) เพื่อต่อยอดนำไปสู่การกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเกิดภาพจำและมีความรู้สึกภักดีกับแบรนด์ (Customer Loyalty) 

เทรนด์ (Trend) จึงเป็นเหมือนสิ่งที่จะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เด่นชัดได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว แถมยังส่งต่อกันได้ไวกว่าการทำการตลาดโดยปกติที่อาจจะต้องใช้เวลาในการส่งสารถึงผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้คนมองเห็นถึงคุณค่าและเอกลักษณ์ที่แบรนด์เป็น 

ยกตัวอย่างการใช้เทรนด์เพื่อบอกเล่าความเป็นแบรนด์และคุณค่าของแบรนด์ผ่านการใช้เทรนด์ที่เห็นภาพได้ชัดเจน เช่น

มีช่วงหนึ่งที่มีกระแสของไอศกรีมในรูปแบบของไก่ทอดจากแบรนด์ไอศกรีมชื่อดัง ด้วยคำโปรย (Copywriting) ที่บอกว่า ‘ไก่ทอดที่ละลายได้’ ทำให้ผู้คนพูดถึงแบรนด์มากยิ่งขึ้น แต่เมื่อแบรนด์ไก่ทอดที่เห็นว่าสินค้าตัวนี้เป็นกระแสก็ได้หยิบเอาเทรนด์นี้มาพูดต่อทำให้เกิดการมีส่วนร่วม (Engagement) ของแบรนด์ตัวเองเป็นจำนวนมากด้วยการโพสต์ภาพที่มีคำโปรยว่า ‘ไก่ที่ไม่มีวันละลาย’ ซึ่งทำให้ติดเป็นกระแสตามโพสต์ของต้นฉบับไปแบบติดๆ และทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูโดดเด่นขึ้นมาได้อีกด้วย 

เทรนด์ช่วยส่งเสริมจุดยืนของแบรนด์ให้เด่นชัดมากขึ้น

แบรนด์ที่อยากจะได้รับการยอมรับจากกลุ่มเป้าหมายก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบ นิยม และให้ความสำคัญ แน่นอนว่า เทรนด์ (Trend) เป็นสิ่งที่บอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้กลุ่มเป้าหมายมีแนวโน้มให้ความสนใจกับเรื่องอะไร และแบรนด์เองจะสามารถนำประเด็นเหล่านั้นมานำเสนอจุดยืนของแบรนด์เองได้หรือไม่ หากแบรนด์สามารถวางจุดยืนให้สอดคล้องกับค่านิยมและความเชื่อของทั้งกลุ่มเป้าหมายและตัวแบรนด์ได้ ก็จะช่วยทำให้สินค้าและบริการต่างๆ ได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าในรูปแบบของการจงรักภักดีต่อแบรนด์ และอาจจะกลายเป็นกระบอกเสียงให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย

ที่มาภาพ: pinterest

กตัวอย่างเช่น การทำแคมเปญร่วมกันระหว่าง Coca-Cola และ Netflix ในช่วงที่​ซีรีส์ Stranger Things กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งงานนี้ไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลองซีซันที่ 3 เท่านั้น แต่ยังเป็นการเน้นย้ำจุดยืนของ Coca-Cola ที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า จะเป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจ ความสุข และสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้แบรนด์กล้าเสี่ยงที่จะทดลองอะไรใหม่ๆ เพื่อจะทำให้แฟนๆ ของแบรนด์รู้สึกสนุกไปด้วยกัน 

ด้วยเหตุนี้ภายในการจัดงานจึงมีการรวบรวมเกมคลาสสิกยุค 80 ซึ่งเป็นช่วงเวลาในซีรีส์ Stranger Things ที่เป็น Pop Culture ของซีรีส์ที่คนให้ความสนใจ พร้อมกับเปิดตัวกระป๋องโค้กดีไซน์เรโทรที่ตีพิมพ์ “กลับหัว” และภายในบรรจุโค้กสูตรปี 1985 ซึ่งสอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ของซีรีส์ “Bringing back product from the dead” อิงกับเรื่องราวในซีรีส์ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ที่ในช่วงปี 1985 โค้กได้ทำการปรับสูตรใหม่ที่ก็สร้างอิมแพ็คกับตลาดอย่างมาก นั่นแปลว่า Coke x Stranger Things จะเป็นโค้กที่มีรสชาติแปลกกว่าโค้กในตลาดทั่วไปที่เรากินกันอยู่ทุกวัน

จะหาเทรนด์ (Trend) ได้จากไหน

เข้าใจถึงความหมายและความสำคัญของเทรนด์ (Trend) แล้ว มาดูกันดีกว่าว่า เราจะหาเทรนด์ได้จากที่ไหนบ้าง โดยในบทความนี้จะแนะนำให้ 2 วิธีด้วยกัน คือ

Google Trend 

วิธีแรกจะเป็นการหาเทรนด์จากเครื่องมือออนไลน์ที่เป็นผลผลิตของเว็บ Search Engine ที่ยิ่งใหญ่อย่าง Google ได้ นั่นคือ Google Trend ซึ่งช่วยให้นักการตลาดสามารถจับทุกเทรนด์ฮิตบนโลกออนไลน์และรับรู้ Insights ของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ที่สามารถใช้งานได้ฟรี 

Google Trend คืออะไร

ที่มาภาพ: googlemanager

Google Trend คือ เครื่องมือที่สามารถใช้งานฟรีได้จาก Google ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ข้อมูลแนวโน้มความสนใจในการค้นหาเรื่องต่างๆ บน Google โดยการค้นหาเทรนด์ (Trend) ผ่านคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ต้องการ เช่น ค้นหาด้วยชื่อสินค้า ประเภทสินค้า ชื่อบุคคล หรืออาจจะเป็นชื่อเว็บไซต์ก็ได้ เพื่อดูแนวโน้มการค้นหาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้ทันที แถมยังดูเทรนด์ย้อนหลังได้ถึงปี 2004 เลยทีเดียว

ประโยชน์ของ Google Trend 

  • ช่วยวางแผนธุรกิจ

นักการตลาดและคนทำแผนธุรกิจสามารถใช้ Google เทรนด์สำรวจทิศทางตลาดและกระแสความนิยมของคนบนโลกออนไลน์ ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงแผนธุรกิจให้เข้ากับกระแสนิยมเพิ่มเติม ทำให้ธุรกิจมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตอีกด้วย

  • ระบุถึงเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นล่าสุดได้

Google Trend มีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า การค้นหาที่มาแรง (Trending Searche) ที่จะคอยอัปเดตกระแสให้แบบรายวัน โดยจะบอกให้ผู้ใช้งานรู้ว่ามีอะไรที่คนกำลังพูดถึงอยู่บ้าง หรือทำไมสิ่งนี้เริ่มเป็นที่นิยม เช่น ในช่วงเดือนธันวาคมจะเป็นเดือนที่คนค้นหาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาสอยู่แล้ว อย่างในวันที่ 13 ธันวาคม ก็มีการค้นหาเกี่ยวกับซานต้าคลอสจนขึ้นมาเป็นเทรนด์การค้นหาบน Google

  • ใช้ตรวจสอบประสิทธิภาพการตลาดได้

นักการตลาดสามารถใช้ Google เทรนด์ ในการตรวจสอบแคมเปญการตลาดที่ปล่อยออกไปแล้วได้ว่ามีผู้คนสนใจมากพอที่จะทำให้ผู้บริโภคที่พบเห็นอยากที่จะค้นหาข้อมูลของแคมเปญบน Google Search เพิ่มเติมหรือไม่ 

  • ใช้ในการหาพื้นที่สำหรับทำ Local Marketing ได้

เราสามารถตรวจสอบดูได้ว่าคีย์เวิร์ดที่คนค้นหานั้นมาจากพื้นที่ไหน หรือจังหวัดอะไรมากที่สุด ซึ่งข้อมูลนี้นำมาใช้ในการทำการตลาดท้องถิ่น (Local Marketing) ในพื้นที่นั้นๆ ได้ เช่น การทำ Local SEO, การตั้งค่าพื้นที่ยิงโฆษณาสำหรับการทำ Paid Search, การขยายสาขาหน้าร้าน เป็นต้น

  • ใช้ในการเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับการทำ SEO

Google เทรนด์ ช่วยทำให้มองเห็นแนวโน้มของคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพและเหมาะที่จะนำมาทำ Keyword Research ต่อได้ จากการค้นหาว่าคำใดถูกค้นหาเป็นประจำและมีเทรนด์การค้นหาเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ยังนำมาใช้ในการวางแผนและคิดหัวข้อในการทำคอนเทนต์ที่ตรงกับแนวโน้มและความสนใจในการค้นหาของผู้คนได้อีกด้วย

  • ใช้ในการตรวจสอบคู่แข่ง

ผู้ใช้งานสามารถนำ Google Trend มาใช้ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคู่แข่งจากการค้นหาว่า บริษัทของคู่แข่งมีคนค้นหาบน Google มากน้อยแค่ไหน และสนใจสินค้าแบบใด ซึ่งจะนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาว่า การสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในขณะนั้น

วิธีใช้ Google เทรนด์

หากคุณสนใจที่จะเริ่มต้นใช้งาน Google เทรนด์ สามารถเข้าไปใช้งานได้เลยที่ https://trends.google.co.th/trends/?geo=TH

หากคุณต้องการที่จะค้นหาคีย์เวิร์ดที่ผู้คนสนใจสามารถพิมพ์คำค้นหาลงไปในช่องเสิร์ชแล้วทำการกดค้นหาได้เลย ยกตัวอย่างเช่น คุณสนใจที่จะหาสินค้าขายในช่วงนี้ และสนใจที่จะทำอาหารเพื่อสุขภาพขาย แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช้คีย์เวิร์ดไหนเป็นคีย์เวิร์ดหลักในการทำสินค้า ก็สามารถทดลองค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับอาหารเพื่อสุขภาพได้

อย่างการเปรียบเทียบคำว่า ‘อาหารคลีน’ และ ‘คีโต’ ที่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพเหมือนกัน ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าในช่วงปีหลังๆ คำว่า คีโตจะมีแนวโน้มที่คนให้ความสนใจมากกว่า ดังนั้น การขายอาหารสุขภาพก็อาจจะเน้นมาเป็นเทรนด์ของการทำอาหารคีโตขาย และใช้คำคีย์เวิร์ดนี้ในการทำ SEO เป็นหลัก 

อาหารคลีน

คีโต

นอกจากนี้ Google Trends ยังมีฟีเจอร์ Subregion เพื่อดูว่าจังหวัดไหน มีความสนใจในคีย์เวิร์ดดังกล่าวบ้าง รวมถึงมีฟีเจอร์ Related Keyword ที่จะบอกว่ามีคำคีย์เวิร์ดอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับคำที่เราสนใจ เช่น คีโต คนก็สนใจที่จะค้นหาคำว่า คีโตเซเว่น ลดน้ำหนักคีโต ฯลฯ ซึ่งสามารถนำคำค้นหาเหล่านี้ไปทำคอนเทนต์ต่อได้ หรือในหัวข้อที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นการบอกว่ายังมีหัวข้ออะไรบ้างที่เชื่อมโยงกับคำค้นหาหลักที่เราใช้ เช่น คนอาจจะค้นหาคีโตเกี่ยวกับอาหารบ่อย เช่น ขนมปังคีโต ซอสคีโต เป็นต้น

Social Listening 

Social Listening เป็นเครื่องมือที่คล้ายกับ Google Trends แต่แทนที่จะใช้ค้นหาเทรนด์ของการเสิร์ชบน Search Engine แต่จะบอกข้อมูลของเทรนด์ที่อยู่บนโลกโซเชียลมีเดีย (Social Media) แทน 

Social Listening คืออะไร

Social Listening คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับฟังเสียงของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook Instagram YouTube TikTok ฯลฯ โดยจะครอบคลุมข้อความทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นข้อความที่เป็นตัวอักษรอย่างคอมเมนต์,  ข้อความที่ติดแฮชแท็ก (#Hashtag), การแท็กเพื่อนโดยการเมนชัน (@mention), การกดตอบกลับข้อความ (Reply) ฯลฯ ไปจนถึงการเก็บข้อมูลผ่านรูปภาพก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน

แนะนำ Social Listening Tool สำหรับจับกระแสเทรนด์ (Trend)

สำหรับ Social Listening Tool ที่ใช้ในการรวบรวมเทรนด์ในประเทศไทยได้อย่างแม่นยำและใช้งานง่าย ขอแนะนำเป็นเครื่องมือที่ชื่อว่า ZOCIAL EYE ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดียจาก Wisesight ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ทุกความเคลื่อนไหวของเทรนด์ออนไลน์ รู้ข้อมูลเชิงลึกจากใจของลูกค้า แบรนด์เองก็จะรู้ว่าถูกพูดถึงอย่างไรบ้าง และยังมีผลต่อการทำการตลาด เช่น การทำ Influencer Marketing/KOLฯลฯ  ไปจนถึงการวัดประสิทธิภาพของแคมเปญต่างๆ ได้เลยทีเดียว

หากอยากรู้ว่า ZOCIAL EYE จะตอบโจทย์ธุรกิจของคุณหรือไม่ สามารถขอรับการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลยที่นี่

ยกตัวอย่างการใช้งานฟีเจอร์ของ ZOCIAL EYE เพื่อจับกระแสเทรนด์ (Trend) 

ZOCIAL EYE จะมีมุมมองที่ใช้สำหรับการค้นหาเทรนด์หรือกระแสที่เป็นที่พูดถึงหรือคนสนใจ นั่นคือ Trend Views ซึ่งใช้ในการค้นหากระแสที่คนกำลังพูดถึงแบบเรียลไทม์ (Real-Time) หรือใช้ในการดูแนวโน้มของเทรนด์ได้ด้วย โดยการฟิลเตอร์ข้อมูลเพิ่มเติมได้ เช่น เลือกโพสต์เฉพาะจากช่องทางโซเชียลมีเดียที่ต้องการ, ค้นหาคอนเทนต์เฉพาะช่วงเวลาที่สนใจได้, สามารถค้นหาโพสต์โดยการลำดับจากคอนเทนต์ที่ได้รับเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) สูงสุดได้ เป็นต้น

หรือสำหรับใครที่ต้องการจะทำการสำรวจหาเทรนด์เพื่อนำมาประกอบการทำ Market Research หรือใช้วางแผนธุรกิจในภาพรวมมากขึ้น ZOCIAL EYE สามารถช่วยในการค้นหาพฤติกรรมของผู้คนบนโลกโซเชียลมีเดียได้ เช่น การหา Insight ของ Instagram Traveller ด้วยการวิเคราะห์ข้อความ และรูปภาพ ที่จะใช้ ZOCIAL EYE ในการวิเคราะห์เทรนด์การท่องเที่ยวในช่วงสถานการณ์ Covid-19 (1 กรกฎาคม – 15 พฤศจิกายน 2564) ซึ่งนักการตลาดสามารถนำ Insight นี้มาใช้ในการออกแบบสินค้าและบริการ รวมถึงออกแบบประสบการณ์ให้ตอบโจทย์กับการท่องเที่ยวของคนยุคใหม่ได้มากขึ้น เป็นต้น

สรุป

จะเห็นว่า เทรนด์ คือ แนวโน้มของความสนใจและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ทำให้การจับกระแสเทรนด์ให้อยู่หมัดนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการไหลของข้อมูลจำนวนมหาศาลผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ บนโลกออนไลน์ที่วันนี้อาจจะเป็นประเด็นที่ผู้คนสนใจ แต่พรุ่งนี้เรื่องทั้งหมดอาจจะตกเทรนด์ไปแล้วก็ได้

ดังนั้น การใช้เครื่องมือที่เอื้อประโยชน์ต่อการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยแปรเปลี่ยนเทรนด์ให้กลายเป็น Insight ได้แบบเรียลไทม์ เช่น การใช้ Social Listening ฯลฯ ก็จะช่วยทำให้แบรนด์ได้รับอิมแพ็คแบบพุ่งทะยานกว่าการทำการตลาดแบบทั่วไปหลายเท่าตัวจากการได้รับความสนใจจำนวนมากจากกลุ่มคนที่กำลังสนใจเทรนด์ในขณะนั้นนั่นเอง

อ้างอิง

https://www.xara.com/branding-hub/why-trends-are-important-for-brands/#trends-3-reasons-brands-should-be-paying-attention
https://www.colleendilen.com/2019/06/26/why-trend-data-is-required-for-cultural-organization-success/
https://www.tnasuite.com/blog/exploring-the-benefits-of-google-trends/