สร้างโปรดักต์ ออกสินค้า ทำธุรกิจ … ไม่ว่าอะไรก็ต้องทำการโปรโมตหรือทำการตลาดเพื่อให้สินค้าหรือบริการของเราเป็นที่รู้จัก และในหลาย ๆ ครั้ง นอกจากการทำการตลาดโดยทั่วไปแล้ว แต่ละแบรนด์ก็มักจะออกแคมเปญการตลาด (Marketing Campaign) มาตามจังหวะเวลาหรือเทศกาลต่าง ๆ ที่เหมาะสม
แต่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าแคมเปญการตลาดที่ออกไปนั้นได้ผลจริง?
จำเป็นที่จะต้องรอให้จบแคมเปญแล้วค่อยมาสรุป เพื่อถอดบทเรียนของแคมเปญการตลาดที่ทำไปในภายหลังเท่านั้นจริง ๆ หรือ?
จะดีกว่าหรือไม่ ถ้าเราสามารถมอนิเตอร์ผลลัพธ์ความสำเร็จของ Marketing Campaign ได้แบบวันต่อวัน สามารถติดตามผลได้อย่างใกล้ชิด เห็นการเติบโตของเป้าหมายที่ตั้งไว้ จนสามารถปรับแผนกลยุทธ์ได้ทันหากจำเป็น หรือหากรู้ว่ามีอะไรที่กำลังไปได้ดี เราก็สามารถเร่งผลลัพธ์ของสิ่งนั้นได้
ทำไมการทำ Marketing Campaign Monitoring จึงสำคัญ?

คำว่า “มอนิเตอร์” หรือ “Monitoring” คือ การคอย ‘เฝ้าติดตาม’ ดูผลว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ดังนั้น Marketing Campaign Monitoring จึงไม่ใช่การสรุปผลลัพธ์ของแคมเปญการตลาดหลังจากที่แคมเปญสิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งเป็นวิธีการที่แทบทุกแบรนด์ใช้
ข้อดีของการสรุปผลลัพธ์หรือทำ Marketing Report นั้น ช่วยให้แบรนด์เข้าใจที่มาที่ไปของผลลัพธ์ของแคมเปญ ทว่า การทำรีพอร์ตไม่อาจช่วยแก้ไขอดีตได้
ในทางกลับกัน หากแบรนด์ติดตามหรือมอนิเตอร์ผลลัพธ์อยู่อย่างเสมอ ในระหว่างทางการทำแคมเปญออนไลน์ แบรนด์สามารถทราบความคืบหน้าของยอดต่าง ๆ และสามารถปรับแผนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้แทบจะในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากแคมเปญที่ตั้งใจทำโดนกระแสเชิงลบตีกลับ การคอยมอนิเตอร์แคมเปญจะช่วยให้แบรนด์ ‘จับสัญญาณ’ ได้เร็ว และรับมือหรือควบคุมสถานการณ์ได้ทันท่วงที
นี่คือ ข้อได้เปรียบของแบรนด์ที่มอนิเตอร์แคมเปญการตลาดอย่างใกล้ชิด แทนที่จะคอยแคมเปญจบแล้วทำรีพอร์ตเท่านั้น
ความท้าทายของการทำ Marketing Campaign Monitoring คืออะไร?
การมอนิเตอร์ Marketing Campaign ช่วยให้แบรนด์รู้สถานการณ์และรับมือสถานการณ์ได้ทันท่วงที แต่การทำมอนิเตอร์ให้ครอบคลุมรอบด้านจนได้ข้อมูลที่พร้อมใช้ นำไปสู่การตัดสินใจและการลงมือทำ ก็มีเรื่องท้าทายที่ทำให้ไม่ใช่ทุกแบรนด์จะสามารถมอนิเตอร์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ข้อมูลจำนวนมหาศาลและหลากหลายช่องทาง (Data Overload) การติดตามแคมเปญออนไลน์ต้องเก็บข้อมูลจากหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Instagram, TikTok, YouTube และเว็บบอร์ดต่าง ๆ ซึ่งการรวมข้อมูลทั้งหมดมาไว้ในที่เดียวเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต้องมีทีมงานคอยดูแลและเก็บข้อมูลให้อยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการนำข้อมูลออกมานำเสนอ
- การวิเคราะห์ Sentiment และข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำ การทำ “Sentiment Analysis” หรือ “การวิเคราะห์ความคิดเห็นเชิงบวกและเชิงลบของผู้บริโภค” ต้องอาศัยเวลาในการตีความและยากที่จะกรองข้อมูลแยกตาม Sentiment เพื่อนำเสนอ จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญของทีมงานในการประมวลผลและวิเคราะห์
- การจัดการเวลาและทรัพยากร การทำ Monitoring ให้ครอบคลุมและต่อเนื่องต้องใช้ทรัพยากรทั้งคน เครื่องมือ และเวลาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องติดตามแคมเปญการตลาดแบบเรียลไทม์ (Real time)
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้การมอนิเตอร์แคมเปญการตลาดภายในองค์กรเองอาจจะเป็นเรื่องที่จะต้องลงทุนไปกับการสร้างทีม การสร้างรูปแบบการทำงาน ไปจนถึงการวางแผนเรื่องการใช้เครื่องมือที่เป็น Martech เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งเป็นส่วนที่จะต้องคำนวณความคุ้มค่าจากการลงทุนในระยะยาวเอาไว้ด้วย
Wisesight ทำ Marketing Campaign Monitoring อย่างไร?
จากความสำคัญและความท้าทายของการทำ Marketing Camapign Monitoring ของแบรนด์ Wisesight จึงได้นำมาออกแบบเป็นบริการ Monitoring and Alert ที่จะช่วยให้แบรนด์และนักตลาดสามารถติดตาม ตรวจสอบ และทราบผลวิเคราะห์ของแคมเปญการตลาดบนสื่อออนไลน์ได้ผ่านกระบวนการ 4 ข้อที่ออกแบบด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่
1. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย (Objective Setting)
แบรนด์สามารถกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการติดตามแคมเปญการตลาดได้ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญของ Wisesight จะคอยให้คำปรึกษา เพื่อกำหนดการแจ้งเตือน (Alert) ที่แบรนด์ต้องการทราบ
ยกตัวอย่างประเด็นที่ต้องการมอนิเตอร์ เช่น
- ติดตามความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ (Product Monitoring)
- ติดตามความคิดเห็นของลูกค้าเกี่ยวกับแบรนด์ (Brand Monitoring)
- ติดตามว่ามีผู้คนกล่าวถึงคู่แข่งว่าอะไรบ้าง (Competitor Monitoring)
- ติดตามผลกระทบของแคมเปญการตลาด (Campaign Monitoring)
2. เลือกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและข้อมูลที่เหมาะสม (Data Collection)
Wisesight สามารถติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้จากโซเชียลมีเดียหลักที่ผู้คนใช้ได้ทุกช่องทาง สามารถตรวจจับข้อมูลที่ต้องการได้ทั้งข้อความหรือคีย์เวิร์ดสำคัญ (Text Message) เช่น แคปชัน ความคิดเห็น รวมถึงตรวจจับและวิเคราะห์รูปภาพ (Image Analysis) ได้ ด้วย Kirin AI ของ Wisesight
แบรนด์เพียงเลือกช่องทางที่ต้องการให้เก็บและแจ้งเตือนข้อมูล พร้อมทั้งสามารถระบุคีย์เวิร์ดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ สินค้า หรือคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องโดยนัยได้ ซึ่งในขั้นตอนนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญจะทำงานร่วมกับแบรนด์เพื่อสรุปว่า มีคีย์เวิร์ดหรือประเด็นอะไรบ้างที่แบรนด์ควรติดตาม ทำให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมมากกว่า ไม่ว่าจะโดยตรง โดยอ้อม หรือโดยนัย
3. ทำการประมวลผลข้อมูลด้วยผู้เชี่ยวชาญ (Data Processing)
ทีมงานของ Wisesight จะทำการประมวลผลข้อมูล โดยการแบ่งหมวดหมู่ของเรื่องที่ต้องการติดตามจากผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยมอนิเตอร์ทุกข้อมูลที่เข้ามาตรงตามวัตถุประสงค์ที่แบรนด์ต้องการ เพื่อจำแนกข้อมูลต่าง ๆ อย่างถูกต้องและรวดเร็วที่สุด เพื่อช่วยในการส่งต่อข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมประเมินข้อมูลเหล่านั้นด้วยว่า เป็นข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาซึ่งส่งผลกระทบกับแบรนด์หรือไม่
ด้วยความสามารถนี้ จะช่วยให้แบรนด์รู้ว่าเรื่องไหนที่แบรนด์ทำแล้วได้รับคำชม หรือเรื่องไหนอาจจะก่อให้เกิดดราม่าตามมาได้ เพื่อที่จะได้วางแผนรับมือหรือออกแคมเปญการตลาดต่อไปได้อย่างเหมาะสม
4. ทำการแจ้งเตือนอย่างเป็นระบบ (Alert)
บริการ Monitoring and Alert ของทาง Wisesight จะสรุปข้อมูลตามวัตถุประสงค์และสิ่งที่สรุปกันว่า แบรนด์ต้องการทราบ รวมไปถึงแจ้งเตือนประเด็นสำคัญที่แบรนด์จำเป็นต้องรู้ ผ่านช่องทางการสื่อสารที่แบรนด์สะดวก เช่น LINE อีเมล หรือการแจ้งเตือนบนแอปพลิเคชัน Message Center ของ Wisesight ทำให้แบรนด์รับรู้สถานการณ์ของแคมเปญการตลาดบนโซเชียลมีเดียได้รวดเร็ว ทันเหตุการณ์ และสะดวกที่สุด

ตัวอย่างสิ่งที่ได้จากการทำ Marketing Campaign Monitoring
ยกตัวอย่างสถานการณ์การมอนิเตอร์แคมเปญออนไลน์ด้วยบริการ Monitoring and Alert จาก Wisesight ใน 4 แง่มุมที่แบรนด์อยากรู้
ตัวอย่าง Marketing Campaign ที่ต้องการติดตาม:
แบรนด์ A เปิดตัวสินค้าใหม่ คือ ครีมบำรุงผิวหน้า และต้องการมอนิเตอร์สถานการณ์และเสียงตอบรับจากลูกค้า ผ่านบริการ Marketing Campaign Monitoring ของ Wisesight
1. มอนิเตอร์การพูดถึงสินค้าในช่องทางต่าง ๆ
แบรนด์ต้องการทราบว่า ผู้คนรู้สึกและมีความคิดเห็นอย่างไรต่อแคมเปญและสินค้าที่ออกใหม่ ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ Wisesight จะทำการเก็บข้อมูลการพูดถึงสินค้าบนช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ ผ่านการกำหนดคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและที่เป็น Brand Mention ทั้งทางตรง ทางอ้อม และโดยนัย เช่น:
- Facebook: โพสต์จากแฟนเพจ, คอมเมนต์ใต้โพสต์, การกล่าวถึงแบรนด์ (Brand Mention)
- Instagram: แคปชันใต้ภาพ, Hashtag (#แบรนด์A #ครีมใหม่)
- TikTok: โพสต์ของครีเอเตอร์ทำวิดีโอรีวิวสินค้า
- เว็บไซต์และบอร์ดรีวิว: เช่น Pantip, บล็อกต่าง ๆ
ตัวอย่างผลลัพธ์การแจ้งเตือน:
- พบว่ามีการโพสต์รีวิวใน Instagram จากอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก และทำให้เกิดการแชร์ต่อ จะช่วยทำให้ทราบว่า อินฟลูเอนเซอร์คนไหนที่ช่วยโปรโมตสินค้าได้เข้าถึงคนมากที่สุด
- ในขณะเดียวกันมีคอมเมนต์บน Facebook จากผู้ใช้บางคนที่พูดถึงความกังวลเรื่องส่วนผสม ทำให้ทราบว่า ผู้คนกังวลเกี่ยวกับส่วนผสม แบรนด์สามารถชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจหรือระงับความเสี่ยงต่อชื่อเสียงแบรนด์ได้
2. วิเคราะห์ความคิดเห็นและความรู้สึก (Sentiment Analysis)
บริการ Monitoring and Alert คอยตรวจจับความคิดเห็นของผู้บริโภค พร้อมวิเคราะห์ความรู้สึก (Sentiment Analysis) โดยแบ่งออกเป็น 3 Sentimet ด้วยกัน ได้แก่

- Positive Sentiment: ความคิดเห็นเชิงบวก เช่น “ครีมซึมไว ผิวชุ่มชื้นจริง ๆ ชอบมากค่ะ”
- Negative Sentiment: ความคิดเห็นเชิงลบ เช่น “ครีมมีน้ำหอมเยอะไปหน่อย กลัวแพ้”
- Neutral Sentiment: ความคิดเห็นทั่วไป เช่น “ใครเคยลองครีมนี้บ้าง คิดว่าเป็นยังไง”
การรวบรวมเสียงของผู้บริโภคสามารถนำมาวิเคราะห์เพิ่มเติมต่อได้ เช่น

- การพูดถึงสินค้าเป็นความคิดเห็นเชิงบวก โดยส่วนใหญ่ชมเรื่องเนื้อครีมบางเบาและเห็นผลดี
- ความคิดเห็นเชิงลบมักเกี่ยวกับกลิ่นน้ำหอมที่ไม่ถูกใจบางคน
- ความคิดเห็นทั่วไปหรือการถามข้อมูลเพิ่มเติม
แบรนด์จะทราบความรู้สึกของผู้บริโภคในภาพรวมว่า ผู้คนชอบหรือไม่ชอบ รวมทั้งทราบถึงรายละเอียดหรือที่มาที่ไปของความรู้สึกนั้น ๆ ทำให้แบรนด์รู้ว่า จะต้องตอบรับความรู้สึกของผู้บริโภคในแง่มุมใด ซึ่งจากตัวอย่าง คือ การปรับปรุงเรื่องกลิ่น
3. รับมือวิกฤต ทำ Crisis Management
ยกตัวอย่างในกรณีที่แบรนด์ A ตรวจจับเจอข้อคิดเห็นเชิงลบ (Negative Sentiment Feedback) ในเรื่องกลิ่นน้ำหอมที่แรงเกินไป ซึ่งทำให้ผู้บริโภคบางส่วนกังวลถึงอาการแพ้น้ำหอม
เมื่อแบรนด์ทราบข้อกังวลจากบริการแจ้งเตือนแล้ว ก็สามารถนำรับมือกับสถานการณ์อย่างทันท่วงทีได้ในหลายวิธีด้วยกัน เช่น
- ทีมงานของแบรนด์สามารถเข้าไปตอบคอมเมนต์ของผู้บริโภคเพื่อสร้างความเข้าใจได้ เช่น ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น ทางแบรนด์รับทราบข้อกังวล และจะนำไปปรับปรุงนะคะ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า น้ำหอมเกรดที่เลือกมาใช้ผ่านการทดสอบอาการแพ้ตามมาตรฐานค่ะ ลูกค้าสามารถตรวจเช็กผลการทดสอบและส่วนผสมของครีมเราได้ตามเอกสารนี้นะคะ
- จัดทำคอนเทนต์หรือไลฟ์สด Q&A ผ่าน TikTok หรือ Facebook Live เพื่ออธิบายส่วนผสม ตอบข้อสงสัย และชี้แจงผลการทดสอบอาการแพ้ ฯลฯ
ยิ่งแบรนด์ตรวจสอบข้อคิดเห็นเชิงลบได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เร็วเท่านั้น ซึ่งช่วยระงับดราม่าหรือความเข้าใจผิดที่ส่งผลต่อชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ได้
4. ปรับแผนแคมเปญ สื่อสารได้ตรงใจผู้บริโภคมากขึ้น (Campaign Optimization)
จากข้อมูลที่แบรนด์ได้จากการมอนิเตอร์ แบรนด์สามารถปรับประเด็นในการสื่อสารหรือวางแผนการตลาดระยะถัดไป เช่น
- ปรับเนื้อหาโฆษณาให้เน้นจุดแข็งที่ลูกค้าชื่นชอบ นั่นคือ เรื่องสัมผัสของเนื้อครีมที่ซึมไว และผลลัพธ์ที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น
- เพิ่มสัญลักษณ์ “ผ่านการทดสอบการแพ้” ให้โดดเด่นขึ้น เพื่อตอบรับความกังวลของผู้บริโภคที่กลัวแพ้
- สร้างโปรโมชันพิเศษ เช่น “ทดลองฟรีสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องแพ้”
- นำข้อกังวลของผู้บริโภคมาสื่อสารผ่านช่องทางที่มียอดการมีส่วนร่วม (Engagement) สูง เช่น TikTok และ Instagram
แบรนด์สามารถใช้ข้อมูลที่ได้มารับมือกับสถานการณ์ได้ทันที ทั้งการรับมือกับการก่อตัวของดราม่าและการปรับแผนการตลาดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่าเดิมในระหว่างแคมเปญ ไม่จำเป็นต้องรอสิ้นสุดแคมเปญแล้วสรุปบทเรียนเพื่อใช้กับแคมเปญในอนาคตเพียงเท่านั้น
สรุป Marketing Campaign Monitoring ช่วยอะไรแบรนด์ได้บ้าง
1. ช่วยให้แบรนด์เข้าใจความคิดเห็นและความรู้สึกที่แท้จริงของลูกค้า
บริการ Monitoring and Alert จาก Wisesight ช่วยวิเคราะห์ความรู้สึก (Sentiment Analysis) ที่แสดงผ่านความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียอย่างแม่นยำ พร้อมแยกเป็นความคิดเห็นเชิงบวก เชิงลบ หรือเป็นกลาง ช่วยให้แบรนด์เข้าใจความรู้สึกของลูกค้าในเชิงลึก รวมถึงรับรู้จุดเด่นและข้อกังวลของเขา เช่น ความชื่นชอบในคุณภาพผลิตภัณฑ์หรือประเด็นที่อาจก่อให้เกิดดราม่าได้ทันที
2. แก้ปัญหาและจัดการวิกฤตได้ทันท่วงที (Crisis Management)
ระบบ Monitoring and Alert ช่วยตรวจจับประเด็นเชิงลบได้อย่างรวดเร็ว แบรนด์สามารถจัดการกับปัญหา เช่น การตอบคำถามในคอมเมนต์หรือชี้แจงข้อสงสัยของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการเกิดวิกฤตที่อาจส่งผลต่อชื่อเสียงของแบรนด์
3. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากเสียงผู้บริโภค (Consumer Insights)
การรวบรวมและประมวลผลข้อมูลจากหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Instagram, TikTok ฯลฯ ช่วยให้แบรนด์มองเห็นข้อมูลเชิงลึก ทั้งในเชิงพฤติกรรมผู้บริโภคและการตอบสนองของตลาด นำไปใช้วางกลยุทธ์และตัดสินใจทางธุรกิจที่ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
4. ปรับปรุงกลยุทธ์แคมเปญให้ตอบโจทย์ (Campaign Optimization)
การที่แบรนด์ทราบผลลัพธ์ของแคมเปญและ Consumer Insight แทบจะทันที ช่วยให้แบรนด์สามารถปรับแผนการสื่อสารและเนื้อหาโฆษณาได้แบบเรียลไทม์ แบรนด์สามารถเน้นจุดแข็งที่ลูกค้าชื่นชอบ พร้อมปรับประเด็นที่ต้องปรับปรุงเพื่อสร้างความมั่นใจ รวมถึงวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแคมเปญถัดไปโดยไม่ต้องรอให้แคมเปญปัจจุบันสิ้นสุด
พลิกเกมการตลาดได้ทันที ปรับแผนแคมเปญให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า!
การตลาดที่ประสบความสำเร็จไม่ได้วัดจากแค่ผลลัพธ์เมื่อจบแคมเปญเท่านั้น แต่คือการปรับตัวระหว่างทางได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
บริการ Monitoring and Alert จาก Wisesight ช่วยให้แบรนด์ติดตามผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ไม่ต้องรอให้แคมเปญสิ้นสุด คุณสามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ ปรับแผนตามข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง และเพิ่มศักยภาพของแคมเปญได้ทันที เพื่อผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์มากกว่า
อย่าจำกัดการตลาดของคุณไว้แค่การถอดบทเรียนในอดีต เปลี่ยนทุกแคมเปญให้สร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ ด้วยบริการ Monitoring and Alert จากทีมผู้เชี่ยวชาญของ Wisesight ที่นี่ (คลิกเพื่อกรอกรายละเอียดให้เราติดต่อกลับ)
