กลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์ (Digital Marketing) ที่เป็นกระแสฮิตมากที่สุดในช่วงนี้คงจะหนีไม่พ้นการทำ “Influencer Marketing” ซึ่งเป็นวิธีทำการตลาดผ่านผู้ทรงอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของผู้คน แต่การที่แบรนด์หรือธุรกิจจะเฟ้นหา Influencer รีวิวสินค้าหรือโปรโมตแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการที่จะคัดสรรอินฟลูเอนเซอร์ที่สามารถส่งต่ออิทธิพลทางบวกต่อไปกับกลุ่มเป้าหมายได้นั้นจำเป็นต้องผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data) ที่มากกว่ายอดผู้ติดตาม (Follower) ยอดไลก์ (Like) หรือยอดแชร์ (Share) อย่างที่ทำกันมาในอดีต

แล้วเราจะต้องดูอะไรถึงจะสามารถเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่ให้อิทธิพลทางบวกกับแบรนด์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น? วันนี้ Wisesight จะพาไปดูเมตริกสำคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์และหา Influencer ที่ใช้สำหรับธุรกิจได้อย่างแม่นยำมากขึ้นผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่า “INFLUENCER DIRECTORY” ซึ่งเป็นหนึ่งในโมดูล (Module) เครื่องมือที่ทำงานเพื่อค้นหา Influencer โดยเฉพาะของ ZOCIAL EYE

มาดูกันดีกว่าว่า เครื่องมือนี้ใช้งานได้อย่างไร และช่วยให้แบรนด์เลือก Influencer ได้อย่างไรบ้าง ตามไปดูพร้อมกันเลย

ทำความรู้จัก INFLUENCER DIRECTORY เครื่องมือหา Influencer จาก Wisesight

INFLUENCER DIRECTORY คืออะไร

INFLUENCER DIRECTORY คือ เครื่องมือหา Influencer รีวิวสินค้า โปรโมตแบรนด์ หรือหาผู้มีอิทธิพลจากสื่อโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ ที่มีโปรไฟล์ไปจนถึงข้อมูลเชิงลึก (Insight) ตรงกับสิ่งที่แบรนด์ต้องการ โดยเครื่องมือนี้จะสามารถใช้งานผ่าน ZOCIAL EYE ของ Wisesight ได้เลย

ข้อดีของการใช้ INFLUENCER

ใช้งานง่ายและครอบคลุมในหลายแพลตฟอร์ม

INFLUENCER DIRECTORY เป็นเครื่องมือสำหรับคนที่ต้องการหา Influencer รีวิวสินค้า

INFLUENCER DIRECTORY เป็นเครื่องมือสำหรับคนที่ต้องการหา Influencer รีวิวสินค้า หรือโปรโมตแบรนด์โดยเฉพาะ จึงออกแบบ User Experience รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ ให้ตอบโจทย์กับการนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้งานต่อได้ง่าย มีการจัดแบ่ง Influencer Tier หรือประเภทของอินฟลูเอนเซอร์ อย่างละเอียด รวมถึงครอบคลุมใน 4 แพลตฟอร์มหลักด้วยกัน ได้แก่ Facebook, Instagram, TikTok และ YouTube โดยแสดงผลอินฟลูเอนเซอร์แยกให้ตามช่องทางต่างๆ และสามารถทำการตั้งค่าการค้นหา (Filter) ได้อย่างละเอียดอีกด้วย

ข้อมูลของอินฟลูเอนเซอร์อัปเดตให้อย่างสม่ำเสมอ

ปกติแล้วการหา Influencer ส่วนใหญ่จะใช้แรงงานของคนทำการตลาดหรือทีมหา Influencer ในการรวบรวมข้อมูล ซึ่งอาจใช้เวลานานหรืออาจเกิดการคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้ง่าย รวมถึงตัวเลขต่างๆ ที่ทำการเก็บมาก็ไม่ได้มีการอัปเดตบ่อย เช่น ยอดคนติดตาม เป็นต้น ทำให้แบรนด์พลาดโอกาสในการเลือก Influencer ที่ใช่ที่สุดสำหรับแบรนด์ไปได้ การใช้ INFLUENCER DIRECTORY ซึ่งเป็นเครื่องมือที่อัปเดตข้อมูลให้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เมตริกต่างๆ สดใหม่มากพอที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์และหา Influencer ที่เหมาะกับแคมเปญที่กำลังทำได้มากที่สุด

ช่วยในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่สร้างความคุ้มค่าให้กับแบรนด์ได้จริง

อย่างที่เราทราบกันดีว่า ในยุคปัจจุบันนี้แบรนด์ส่วนใหญ่มักมีการแบ่งงบเพื่อทํา Influencer Marketing เพราะเป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างที่ INSG ได้สรุปเอาไว้ว่า ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ในปี 2019 มีมูลค่าตลาดมากถึง 638 ล้านดอลลาร์ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตมากถึง 2.59 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024

แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อใช้เทคนิคการตลาดนี้ในการทำการตลาดออนไลน์ แต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหนนั้นอาจจะไม่ได้ทำการชี้วัดกันจริงจัง อาจจะเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะวัดผลอย่างไร ใช้เมตริกอะไรดี และจะคำนวณผลลัพธ์เหล่านั้นอย่างไร 

INFLUENCER DIRECTORY จึงเป็นเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยตอบคำถามเหล่านี้ให้กับแบรนด์และนักการตลาดได้ เพราะ INFLUENCER DIRECTORY นั้นทำการรวบรวมข้อมูลจากการทำ Social Listening จำนวนมหาศาลแล้วนำมาประมวลเป็นผลลัพธ์ที่จัดหมวดหมู่มาให้แล้วว่า “สำคัญ” และสามารถนำไปใช้คัดเลือกอินฟลูเอนเซอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการดูแค่ยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) ซึ่งเป็นเพียงเมตริกหนึ่งที่ใช้ได้แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

INFLUENCER DIRECTORY ทำอะไรได้บ้าง

เราจะขอแนะนำฟีเจอร์สำคัญที่จะช่วยให้นักการตลาดสามารถใช้งาน INFLUENCER DIRECTORY เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลหา Influencer ได้อย่างสะดวกมากขึ้น ดังนี้

ฟีเจอร์สำหรับการตั้งค่าและค้นหา Influencer 

1.เลือกแพลตฟอร์มที่ต้องการหา Influencer ได้

การหา Influencer รีวิวสินค้า หลายคนอาจจะใช้วิธีการหาผู้มีอิทธิพลสักคนแล้วใช้งานพวกเขาในทุกช่องทางที่มี แต่รู้หรือไม่ว่า ในแต่ละช่องทางของ Influencer อาจจะให้ผลลัพธ์ของ Performance ที่ต่างกัน จะดีกว่าไหมหากนักการตลาดสามารถเจาะจงได้เลยว่า ถ้าต้องการทำการตลาดในช่องทางใดก็สามารถหา Influencer ที่โดดเด่นจากช่องทางนั้นๆ และนำมาใช้งานเพื่อสร้างผลลัพธ์ได้จริง 

การหา Influencer รีวิวสินค้า หลายคนอาจจะใช้วิธีการหาผู้มีอิทธิพลสักคนแล้วใช้งานพวกเขาในทุกช่องทางที่มี แต่รู้หรือไม่ว่า ในแต่ละช่องทางของ Influencer อาจจะให้ผลลัพธ์ของ Performance ที่ต่างกัน จะดีกว่าไหมหากนักการตลาดสามารถเจาะจงได้เลยว่า ถ้าต้องการทำการตลาดในช่องทางใดก็สามารถหา Influencer ที่โดดเด่นจากช่องทางนั้นๆ และนำมาใช้งานเพื่อสร้างผลลัพธ์ได้จริง 

INFLUENCER DIRECTORY จึงมีฟีเจอร์สำหรับคัดกรองแยกหา Influencer จากแต่ละโซเชียลมีเดีย โดยปกติจะหาได้ในเฉพาะ Facebook และ Instagram แต่ในปี 2022 นี้จะสามารถหา Influencer TikTok และ YouTube ซึ่งเป็น 2 แพลตฟอร์มมาแรงที่นักการตลาดหันมาใช้อินฟลูเอนเซอร์กันมากขึ้น

นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีการค้นหาจาก Username หรือพิมพ์ข้อความที่มีอยู่ในโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์ก็สามารถคัดกรองข้อมูลของ Influencer ขึ้นมาให้ได้เช่นเดียวกัน

2.หา Influencer รีวิวสินค้าตามหมวดหมู่ได้

การจัดแบ่งประเภท Influencer

Wisesight ทำการแบ่งหมวดหมู่ (Cluster) ของอินฟลูเอนเซอร์ออกเป็น 38 หมวดหมู่ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหา Influencer ตามหมวดหมู่อุตสาหกรรมที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยการจัดแบ่งประเภท Influencer นี้จะได้มาจากการที่อินฟลูเอนเซอร์ได้ทำการโพสต์เนื้อหาคอนเทนต์ในประเภทนั้นๆ บ่อยที่สุดนั่นเอง

3.ค้นหาข้อมูลเชิงลึกของ Influencer แบบละเอียดได้

ค้นหาข้อมูลเชิงลึกของ Influencer แบบละเอียด

INFLUENCER DIRECTORY มีฟีเจอร์ที่ช่วยกรองข้อมูลให้ลึกและตรงมากขึ้น ด้วยฟิลเตอร์แบบละเอียดที่สามารถระบุเกณฑ์ที่ต้องการค้นหา Influencer ได้ตั้งแต่…

  • Engagement/Post: เป็นการตั้งค่าเพื่อค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ที่มีค่าเฉลี่ยของยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) ต่อโพสต์ (Post) ตามที่ระบุ 
  • Follower:  เป็นการตั้งค่าการค้นหาจากยอดคนติดตามของ Influencer โดยสามารถระบุเป็นตัวเลขได้ หรือจะระบุเป็นประเภทของอินฟลูเอนเซอร์ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น
    • Pico จำนวนผู้ติดตาม 0 – 1,000 คน 
    • Nano จำนวนผู้ติดตาม 1,001 – 10,000 คน 
    • Micro จำนวนผู้ติดตาม 10,001 – 50,000 คน 
    • Mid-Tier จำนวนผู้ติดตาม 50,001 – 500,000 คน 
    • Macro จำนวนผู้ติดตาม 500,001 – 1,000,000 คน 
    • Mega จำนวนผู้ติดตาม 1,000,001 – 5,000,000 คน 
    • Elite จำนวนผู้ติดตามมากกว่า 5,000,000 คน
  • Influencer Score: เป็นการตั้งค่าการค้นหาจากคะแนนประสิทธิภาพของอินฟลูเอนเซอร์เทียบกับอินฟลูเอนเซอร์คนอื่นๆ ในหมวดหมู่เดียวกัน โดยคะแนนคำนวณจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ Engagement, Follower และ Activity โดยจะมีคะแนนตั้งแต่ 0-10 ซึ่งคะแนนนี้จะเป็นเมตริกเฉพาะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดียของทาง Wisesight ทำการคิดค้นขึ้น เพื่อช่วยในการคัดเลือกและค้นหา Influencer ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • Gender: สามารถตั้งค่าการค้นหาตามเพศของ Influencer ได้
  • Audience Gender: เป็นการตั้งค่าการค้นหาตามเพศของผู้ติดตาม Influencer 
  • Audience Age: เป็นการตั้งค่าการค้นหาตามช่วงอายุของผู้ติดตาม Influencer
  • Language: ตั้งค่าการค้นหาจากภาษาที่ Influencer พิมพ์ในโพสต์ได้

การแสดงผลลัพธ์การค้นหา Influencer

หลังจากที่ทำการตั้งค่าอย่างละเอียดตามที่ต้องการแล้วกด “Apply” ข้อมูลของ Influencer ที่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดก็จะปรากฏขึ้นมาทางฝั่งขวามือ โดยจะมีการสรุปให้ว่ามีบัญชีของอินฟลูเอนเซอร์ที่ตรงกับเกณฑ์ที่ใช้ในการค้นหาอยู่ที่เท่าไหร่ สามารถจัดเรียงข้อมูลการแสดงผลของ Influencer ได้ด้วยว่า จะเลือกเรียงลำดับ (จากมากไปน้อย) ของบัญชีจากยอดผู้ติดตาม (Follower) ยอดการมีส่วนร่วมต่อโพสต์ (Engagement per Post) หรือจะเลือกจากคะแนน Influencer Score ก็ได้

สามารถกดเลือกดูโปรไฟล์ของอินฟลูเอนเซอร์ได้ในระดับรายบุคคล โดยจะมีข้อมูลเชิงลึก (Insight) ของแต่ละบัญชีแสดงผลขึ้นมาให้ด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อหา Influencer ที่มีประสิทธิภาพตรงตามที่แบรนด์ต้องการได้ต่อไป และนี่คือรายละเอียดของผลลัพธ์เชิงลึกที่ในแต่ละบัญชีจะแสดงให้เห็น ดังนี้

1.โปรไฟล์ของบัญชี Influencer

จะแสดงผลว่า บัญชีของอินฟลูเอนเซอร์คนนี้มาจากช่องทางไหน ใช้รูปโปรไฟล์แบบไหน ชื่อของบัญชีคือชื่ออะไร และจัดอยู่ในหมวดหมู่ (Cluster) ใด อย่างเช่น บัญชี Instagram ของคุณใบเฟิร์น พิมพ์ชนก จะจัดอยู่ในกลุ่มของอินฟลูเอนเซอร์ประเภทนักแสดง (Actor) และจัดอยู่ในสายความงามและแฟชัน (Beauty and Fashion) ซึ่งสายของอินฟลูเอนเซอร์นี้จะจัดจากการโพสต์เนื้อหาคอนเทนต์ในประเภทนั้นๆ ที่อินฟลูเอนเซอร์ทำการโพสต์บ่อยที่สุดนั่นเอง

2.ผลลัพธ์ด้าน Performance ของอินฟลูเอนเซอร์

สำหรับผลลัพธ์ในส่วนแรกจะเป็นผลลัพธ์ที่จะแสดงให้เห็นประสิทธิภาพ (Performance) โดยรวมของบัญชีอินฟลูเอนเซอร์ โดยจะเป็นการคำนวณข้อมูลย้อนหลัง 3 เดือนจนถึงปัจจุบัน แบ่งเป็น

Account Statistics

เป็นการแสดงผลลัพธ์ของสถิติของจำนวนผู้ติดตาม (Follower), ยอดการมีส่วนร่วม (Engagement), โพสต์ (Post) และการเมนชัน (Mentions) โดยสรุปออกมาในรูปแบบของกราฟเส้นที่สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะดูผลลัพธ์เป็นแบบรายวัน รายอาทิตย์ หรือรายเดือนก็ได้ นอกจากนี้ยังมีการสรุปออกมาเป็นตัวเลขที่ดูเข้าใจง่ายให้อีกด้วย

Engagement

เป็นการสรุปผลของการมีส่วนร่วมในบัญชีของอินฟลูเอนเซอร์ว่ามีสัดส่วนการมีส่วนร่วมในด้านใดบ้าง เช่น การกดไลก์ (Like), การคอมเมนต์ (Comment), การแชร์ (Share) ฯลฯ โดยเมตริกในการวัดผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มด้วยว่าเป็นแพลตฟอร์มอะไร เช่น ถ้าเป็น Instagram จะมีเพียง Like, Comment แต่ถ้า Facebook จะเปลี่ยนเป็นยอดรีแอคชัน (Reaction), การคอมเมนต์ (Comment), การแชร์ (Share) แทน เป็นต้น

Influencer Score

เป็นการแสดงผลของคะแนน Influencer Score ที่จะบอกด้วยว่าปัจจุบันมีคะแนนอยู่ที่เท่าไหร่ และโดยเฉลี่ยมีคะแนนอยู่ที่เท่าไหร่ จะมีคะแนนตั้งแต่ 0-10 วัดจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ ยอดการมีส่วนร่วม (Engagement), ผู้ติดตาม (Follower) และกิจกรรม (Activity) ของบัญชีนั้นๆ 

Cluster Comparison

เป็นการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของอินฟลูเอนเซอร์ (จะแสดงเป็นเส้นประพร้อมชื่อบัญชี) กับอินฟลูเอนเซอร์ในกลุ่ม (Cluster) เดียวกัน กราฟจะแสดงเปอร์เซ็นไทล์ที่มีอิทธิพลในแต่ละเรื่องแบบเจาะลึกมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น

  • ผู้ติดตาม (Follower)
  • การมีส่วนร่วม (Engagement)
  • โพสต์ (Posts)
  • เมนชัน (Mentions)

ส่วน Influencer Score จะเป็นข้อมูลคะแนนประสิทธิภาพของอินฟลูเอนเซอร์ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมของยอดการมีส่วนร่วม (Engagement), ผู้ติดตาม (Follower) และกิจกรรม (Activity) จากบัญชีของอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น (โดยความยาวของกราฟในแต่ละเปอร์เซ็นไทล์คือจำนวนผู้มีอิทธิพลที่อยู่ในเปอร์เซ็นไทล์นั้น และการเปรียบเทียบนี้เป็นเพียงการประมาณเท่านั้น)

3.ผลลัพธ์ด้าน Content ของอินฟลูเอนเซอร์

จะเป็นการสรุปผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ที่ Influencer ได้ทำการโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดีย สามารถแบ่งผลลัพธ์ได้เป็น 4 หัวข้อ ดังนี้

Content Statistics

เป็นผลลัพธ์ของประเภทของคอนเทนต์ (Content Type) ซึ่งในแต่ละแพลตฟอร์มของโซเชียลมีเดียจะมีประเภทของคอนเทนต์ที่ต่างกัน เช่น ใน Instagram ประเภทของคอนเทนต์จะเป็นรูปภาพ (Photo) และวิดีโอสั้น (Reels) เป็นต้น ส่วน Sentiment จะเป็นค่าแสดงอารมณ์ความรู้สึกในโพสต์ของ Influencer ว่าเป็นไปในแง่บวก (Positive) แง่ลบ (Negative)  หรือกลางๆ (Neutral)

Content Attribute Analysis

จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลของคอนเทนต์ที่ Influencer สร้าง โดยจะวิเคราะห์ออกมาเป็นรูปแบบของคำที่ใช้ Hashtag และการวิเคราะห์รูปภาพ ดังนี้

  • Word Cloud : การจับคำในเนื้อหาที่ใช้บ่อยๆ เพื่อแสดงให้เห็นคำ (Tag) ที่ถูกใช้มากที่สุด
  • Hashtag Cloud: การจับ Hashtag ในเนื้อหาที่ใช้บ่อยๆ เพื่อแสดงให้เห็นคำ (Tag) ที่ถูกใช้มากที่สุด
  • Image Analysis : เป็นการจับเนื้อหาคอนเทนต์จากรูปภาพด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง KIRIN ENGINE ซึ่งพัฒนาโดย Wisesight ซึ่งจะช่วยระบุว่าภาพนั้นเป็นภาพอะไร มีวัตถุอะไรอยู่ในภาพบ้าง (ลองอ่านประโยชน์ของการทำ Image Analysis ได้ ที่นี่)

Tagged Location

จะเป็นผลลัพธ์ของตำแหน่งที่อยู่ที่อินฟลูเอนเซอร์เคยแท็กในโพสต์หรือเนื้อหา

Contents

จะเป็นการแสดงผลลัพธ์ของคอนเทนต์ โดยจะขึ้นให้ดูมากที่สุดทั้งหมด 12 โพสต์ ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะดูเป็นคอนเทนต์ล่าสุด หรือจะดูตามยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงสุดของบัญชีนั้นๆ ก็ได้

4.ผลลัพธ์ด้าน Audience ของอินฟลูเอนเซอร์

Audience ในที่นี้หมายถึง ผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์ โดยในปัจจุบันนี้จะมีข้อมูลเฉพาะในแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram ส่วนรายละเอียดจะมีอะไรบ้างตามไปดูพร้อมๆ กันเลย ดังนี้

Demographic

เป็นข้อมูลโดยรวมเกี่ยวกับผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์ โดยจะแสดงผลลัพธ์ของเพศและอายุในหัวข้อ Demographic และความคิดเห็นที่ผู้ติดตามใช้ในความคิดเห็นบ่อยๆ ในหัวข้อ Comment Word Cloud

Attribute

จะแสดงผลลัพธ์​เกี่ยวกับความสนใจของผู้ติดตามของ Influencer ในแต่ละกลุ่ม (Cluster)

5.ผลลัพธ์ด้าน Relation ของอินฟลูเอนเซอร์

ส่วนสุดท้ายจะเป็นผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของบัญชี Influencer ที่มีกับบัญชีอื่นๆ โดยจะแบ่งเป็น

Most Brand Mention This Account

เป็นผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าบัญชีของอินฟลูเอนเซอร์ท่านนี้ถูกเมนชัน (Mention) ถึงจากแบรนด์ไหนมากที่สุด

เป็นผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าบัญชีของอินฟลูเอนเซอร์ท่านนี้ทำการเมนชัน (Mention) ถึงแบรนด์ไหนมากที่สุด

Most Profile Mention This Account

เป็นผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าบัญชีของอินฟลูเอนเซอร์ท่านนี้ถูกเมนชัน (Mention) จากโปรไฟล์ไหนมากที่สุด

Most Profile Mention By This Account

เป็นผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าบัญชีของอินฟลูเอนเซอร์ท่านนี้เมนชัน (Mention) ถึงโปรไฟล์ไหนมากที่สุด

Influencers Looks Like This Account

เป็นการแสดงผลลัพธ์ข้อมูลของบัญชี Influencer ที่มีความใกล้เคียงกับบัญชีของ Influencer ที่เราเลือกมา

INFLUENCER DIRECTORY ใช้หา Influencer ได้ยังไง

เพื่อให้เห็นภาพการใช้งานและการดูข้อมูลเพื่อหา Influencer รีวิวสินค้าหรือใช้เพื่อโปรโมตแบรนด์ที่ชัดเจนมากขึ้น เราจะขอยกตัวอย่างการค้นหา Influencer จาก INFLUENCER DIRECTORY โดยจะทำการหา Micro Influencer เป็นตัวอย่าง เช่น คุณเป็นบริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหาร เน้นเจาะกลุ่มผู้ชายอายุ 45+ เป็นหลัก ต้องการหา Micro Influencer ในสาย Cooking ในช่องทาง Instagram ที่สามารถผลิต Reels และรูปภาพเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ให้กับธุรกิจของคุณได้ ซึ่งโดยปกติอาจจะต้องทำการจ้างเอเจนซี่ในการตามหา Influencer รีวิวสินค้าให้กับคุณ แต่ถ้าคุณใช้ INFLUENCER DIRECTORY คุณจะได้รายชื่อพร้อมข้อมูลของ Influencer ที่ต้องการมาไว้ในมือทันที

อันดับแรกคุณจะต้องทำการคัดกรอง Influencer ด้วยการเลือกแพลตฟอร์มที่ต้องการอย่าง Instagram และเลือก Cluster ที่ต้องการ นั่นคือ กลุ่มของ Influencer สายทำอาหาร (Cooking) หลังจากนั้นอย่าลืมระบุกลุ่มจำนวนผู้ติดตาม ซึ่งคุณต้องการหา Micro Influencer จำนวนของผู้ติดตามจึงมีอยู่ที่ 10,001 – 50,000 คน แล้วจึงค่อยกด Apply ข้อมูล

ข้อมูลโปรไฟล์ของ Influencer ที่ตรงกับเกณฑ์ที่คุณต้องการจะปรากฏขึ้นมา จะเห็นว่า Micro Influencer ที่อยู่ในสายทำอาหาร (Cooking) บนแพลตฟอร์ม Instagram จะมีอยู่ทั้งหมด 69 บัญชี คุณอาจจะลองเข้าไปดูว่า บัญชีเหล่านี้มี Performance โดยรวมเป็นอย่างไร รวมถึงดูด้วยว่าสามารถผลิตคอนเทนต์ที่เป็นทั้ง Reels และรูปภาพให้กับคุณตามที่ต้องการได้หรือไม่

คุณอาจจะต้องเลือกหลายๆ บัญชีมาเปรียบเทียบว่า Influencer คนไหนบ้างตอบโจทย์กับแบรนด์ของคุณมากที่สุด โดยใช้ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่ INFLUENCER DIRECTORY มีให้ เช่น

สำรวจว่าใครทำคอนเทนต์ทั้งวิดีโอสั้น (Reels) และรูปภาพได้บ้าง และมีประเภทของโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์คอมเมนต์ที่ถูกพูดถึงในแง่บวก (Positive) แง่ลบ (Negative)  หรือกลางๆ (Neutral) อย่างไร อย่างเช่น Influencer A และ Influencer B สามารถผลิตประเภทคอนเทนต์ตามที่ต้องการได้ แต่ Influencer B มี % ของโพสต์ที่ถูกพูดถึงในแง่ลบที่ค่อนข้างสูงกว่า Influencer คนอื่น ก็อาจจะต้องไปตรวจสอบต่อว่า กำลังเกิดดราม่าในเรื่องอะไรอยู่บ้างหรือเปล่า เพราะถ้าหากเลือกใช้ Influencer ที่เป็นประเด็นอยู่ก็อาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ด้วยเช่นกัน

อย่างในส่วนของกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะได้จากการเลือกใช้ Influencer ก็สามารถใช้ Audience ในการตรวจสอบได้ว่า ผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์คนไหนมีกลุ่มเป้าหมายที่ธุรกิจต้องการบ้าง อย่างเช่น เราต้องการกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ชายอายุ 45+ จะเห็นว่า Influencer A มี % ของกลุ่มผู้ติดตามในเพศและช่วงอายุที่ต้องการ แต่ Influencer B กลับไม่มีอยู่เลย นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สามารถเลือกใช้ Influencer ได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของธุรกิจมากยิ่งขึ้น

หรือสำหรับธุรกิจไหนที่ต้องการจะหา Influencer ที่ไม่ซ้ำกับคู่แข่งก็อาจจะเข้าไปดูว่า Relation ของบัญชี Influencer นั้นๆ มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ใดบ้าง พูดถึงแบรนด์ไหนบ้าง และถูกเมนชันจากแบรนด์ไหนบ้าง 

หรืออาจจะดูจากการใช้ Word Cloud หรือ Hashtag Cloud เพื่อดูว่ามีการใช้สำนวนหรือคำในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์คู่แข่ง

และนี่คือวิธีการใช้งาน INFLUENCER DIRECTORY เพื่อหา Influencer รีวิวสินค้าและโปรโมตแบรนด์ โดยใช้หาได้ทั้ง Nano Influencer, Micro Influencer ไปจนถึงเหล่าบัญชีคนดัง แถมยังคัดเลือกให้เหลือเฉพาะบางหมวดหมู่ที่ต้องการได้อีกด้วย หากใครที่สนใจอยากใช้ INFLUENCER DIRECTORY เพื่อย่นระยะเวลาในการทำ Influencer Marketing ให้น้อยลง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลย