ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ก็ต้องเจอกับ “คู่แข่งทางการตลาด” อยู่แล้ว ซึ่งคู่แข่งทางการตลาด นิยามอย่างง่าย คือ ธุรกิจที่มีส่วนแบ่งลูกค้าจากธุรกิจหรือแบรนด์ของเรา เพราะหากคู่แข่งทางการตลาดดึงลูกค้าได้มากกว่าเรา นั่นอาจหมายถึง ลูกค้าของธุรกิจเราอาจลดน้อยลง และเพื่อให้ธุรกิจของเราเท่าทันคู่แข่ง เราจึงควร ‘รู้เขา’ ผ่านการ ‘ส่อง’ หรือมอนิเตอร์คู่แข่ง (Competitor Monitoring)

ที่มาภาพ :  https://www.socialpilot.co/

ในบทความนี้ Wisesight จึงจะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า จริง ๆ แล้ว คู่แข่งทางการตลาดของธุรกิจคุณเป็นใครได้บ้าง การส่องคู่แข่งทำให้ธุรกิจของคุณได้เปรียบกว่าอย่างไร และรู้ว่า ควรจะส่องอะไรคู่แข่งบ้าง รวมไปถึงแนะนำบริการมอนิเตอร์คู่แข่งได้แบบ 24 ชั่วโมง

คู่แข่งทางการตลาด คืออะไร

คู่แข่งทางการตลาด คือ ธุรกิจใด ๆ ก็ตามที่มีโอกาสแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดหรือลูกค้าจากธุรกิจของเรา ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และนอกจากนี้ คู่แข่งทางการตลาดไม่ได้หมายถึงเพียงธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการเหมือนกับเราเท่านั้น แต่ยังอาจหมายถึงธุรกิจที่กลุ่มเป้าหมายลูกค้าของเรามองว่าเป็นอีกทางเลือก เช่น คู่แข่งที่มีผลิตภัณฑ์ใกล้เคียง หรือคู่แข่งที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่สามารถแก้ปัญหาของลูกค้าได้เหมือนกับธุรกิจของเรา

ที่มาภาพ : https://www.atomicdust.com//

ดังนั้น ในการทำการตลาดของธุรกิจ การ ‘รู้เขารู้เรา’ หรือการรู้จักคู่แข่งทางการตลาดอย่างดี เป็นอีกงานหนึ่งที่จำเป็นและต้องทำ เพราะธุรกิจสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการติดตามคู่แข่งทางการตลาด มาวิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็งของคู่แข่งได้ ใช้ทำความเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ของเรากับคู่แข่งได้ชัดเจน สามารถนำข้อมูลมาใช้พัฒนากลยุทธกลยุทธ์ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่น ช่วยให้เห็นโอกาสและความท้าทายในอนาคต เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาวได้อีกด้วย 

ประเภทของคู่แข่งทางการตลาด มีอะไรบ้าง

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า คู่แข่งทางการตลาด ไม่ได้มีเพียงธุรกิจที่มีสินค้าและบริการเหมือนกันกับธุรกิจเราเท่านั้น ในโลกการตลาดยังมีคู่แข่งประเภทต่าง ๆ ที่ธุรกิจควรทำความรู้อยู่ 3 ประเภทหลักด้วยกัน ดังนี้

  • คู่แข่งโดยตรง (Direct Competitors) คือ คู่แข่งโดยตรงหมายถึงธุรกิจที่ขายสินค้าและบริการเหมือนหรือคล้ายกันมากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ B2B ที่ให้บริการระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) คู่แข่งโดยตรงของคุณอาจเป็น Salesforce หรือ HubSpot ซึ่งให้บริการ CRM ในรูปแบบเดียวกัน โดยพวกเขาจะแย่งส่วนแบ่งตลาดจากกลุ่มเป้าหมายเดียวกันกับคุณ
  • คู่แข่งทางอ้อม (Indirect Competitors) คือ คู่แข่งทางอ้อมคือธุรกิจที่ให้บริการหรือผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน แต่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเดียวกัน เช่น หากธุรกิจของคุณคือร้านขายอาหารฟาสฟูดส์​ (fast food company) คู่แข่งทางอ้อมอาจหมายถึง ร้านกาแฟและคาเฟ่ที่กลุ่มลูกค้าอาจเลือกแวะซื้อแทนที่จะเลือกซื้ออาหารกับร้านของคุณ
  • คู่แข่งที่มาใหม่ในตลาด (New Entrants) คือ คู่แข่งที่มาใหม่คือธุรกิจที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดและอาจแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากธุรกิจของคุณได้ อาจหมายถึง ธุรกิจที่แตกต่างไปจากธุรกิจของคุณหรืออยู่นอกอุตสาหกรรมไปเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น บริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Prime เป็นคู่แข่งใหม่ของช่องโทรทัศน์

คู่แข่งทางการตลาดทั้งสามประเภท มีจุดร่วมเดียวกัน คือ มีโอกาสที่จะแบ่งสัดส่วนการตลาดหรือลูกค้าจากธุรกิจของคุณได้ อยากจะรู้ว่า ธุรกิจใดบ้างที่อาจเป็นคู่แข่งของคุณ ก็สามารถใช้ประเภทของคู่แข่งทั้งสามนี้ เป็นกรอบให้การวิเคราะห์เบื้องต้นได้ 

ทำไมการติดตามและวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาดจึงสำคัญ

การติดตามและวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาดมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการทำการตลาด เพราะช่วยให้คุณรู้จักทั้งคู่แข่งและจุดแข็งของตัวเองมากขึ้น พร้อมกับได้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ โดยการเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่งจะช่วยให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ในธุรกิจได้ อีกทั้งยังสามารถวางแผนป้องกันข้อผิดพลาดและกลยุทธ์การตลาดให้เหนือกว่าคู่แข่งได้

นอกจากนี้ การวิเคราะห์คู่แข่งยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจค้นพบแนวทางในการพัฒนา เช่น การดูภาษาที่คู่แข่งใช้ในการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งอาจนำไปสู่ไอเดียใหม่ในการปรับปรุงแผนการตลาดหรือผลิตภัณฑ์ สร้างความแตกต่าง และพัฒนากลยุทธ์ที่ได้เปรียบในตลาดได้เหนือคู่แข่งได้ 

แล้วมีข้อมูลหรือแง่มุมไหนที่ธุรกิจควรติดตามคู่แข่งบ้าง?

สิ่งที่ควรติดตามและวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาด

  • ดูการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่: การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของคู่แข่งอาจมีผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดของคุณ ดังนั้น ควรติดตามจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เกิดจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Visitors) และยอดการเปลี่ยนเป็นลูกค้า (Conversion Rate) ของพวกเขา นอกจากนี้ ควรดู Social Media Mentions เพื่อประเมินว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ของคู่แข่งได้รับการตอบรับอย่างไรจากผู้บริโภคบ้าง
  • ติดตามกลยุทธ์การตลาดและโปรโมชัน: การตรวจสอบกลยุทธ์การตลาดและโปรโมชันของคู่แข่งจะช่วยให้คุณเห็นว่าพวกเขาใช้วิธีการใดในการดึงดูดลูกค้า โดยคุณสามารถติดตามยอดเอนเกจเมนต์ (Engagement Rate) เช่น ยอดแชร์ ยอดแสดงความคิดเห็น จำนวนไลก์ ฯลฯ ของโพสต์หรือแคมเปญ โปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อประเมินความสำเร็จของการโฆษณา 
  • ติดตามการเคลื่อนไหวในสื่อโซเชียลมีเดีย: สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารกับลูกค้า คุณควรติดตาม Follower Growth Rate เพื่อดูการเติบโตของฐานลูกค้าของคู่แข่ง และ Share of Voice (SOV) เพื่อวัดว่าคู่แข่งมีการพูดถึงมากน้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์ของคุณ รวมไปถึงการติดตามและทำ Sentiment Analysis จะช่วยให้คุณรู้ว่าลูกค้ารู้สึกอย่างไรต่อแบรนด์ของคู่แข่ง
  • ติดตามผลตอบรับจากลูกค้า/ผู้บริโภค: ติดตามฟังเสียงของลูกค้าหรือ Customer Satisfaction Score (CSAT) และ Net Promoter Score (NPS) เพื่อวัดความพึงพอใจและความนิยมของพวกเขาที่มีต่อแบรนด์ ว่าเสียงของลูกค้ามีความเห็นไปในทิศทางใด นอกจากนี้ ควรดูรีวิวและการให้คะแนน (Review and Customer Rating) เพื่อประเมินคุณภาพและความตรงใจของลูกค้าที่มีต่อสิ่งที่คู่แข่งนำเสนอ

Competitor Monitoring คืออะไร

Competitor Monitoring คือ กระบวนการติดตามและแจ้งเตือนเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของคู่แข่งในแง่มุมต่าง ๆ ที่แบรนด์ต้องการทราบ เช่น การทำแคมเปญการตลาด การเปิดตัวสินค้า การสื่อสารกับลูกค้า หรือการได้รับความคิดเห็นจากผู้บริโภค เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และใช้ในการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดของแบรนด์ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มาภาพ :https://www.symson.com/

ในบริบทการทำการตลาดในยุคปัจจุบัน การทำ Competitor Monitoring จะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าใจถึงแนวทางและกลยุทธ์ที่คู่แข่งใช้บนช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย แคมเปญโฆษณา และการสื่อสารกับผู้บริโภค นอกจากจะทำให้ทราบว่าคู่แข่งกำลังดำเนินการอะไรแล้ว ยังช่วยให้แบรนด์สามารถหาจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ของตนเองอย่างเหมาะสม

ดังนั้น Competitor Monitoring ไม่เพียงแต่เป็นการติดตามข้อมูล แต่ยังเป็นการวิเคราะห์และนำข้อมูลเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ เพื่อยกระดับการสื่อสารและการตลาดของแบรนด์ให้เหนือกว่าคู่แข่ง

การทำ Competitor Monitoring ช่วยให้แบรนด์เหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างไร

การติดตามและวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาดมีประโยชน์และความสำคัญกับการทำการตลาดของธุรกิจและแบรนด์อย่างยิ่ง ทั้งช่วยให้รู้จักคู่แข่งและตัวเองมากขึ้น และยังช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลในการออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและรับมือกับสถานการณ์ได้ทันท่วงที

1. รู้จักจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง
ช่วยให้ธุรกิจค้นพบจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง การรู้ว่าคู่แข่งทำอะไรได้ดีจะช่วยให้เรานำไปปรับใช้กับธุรกิจเราได้ ในขณะที่การหาจุดอ่อนจะช่วยให้เราวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดแบบเดียวกัน รวมถึงการวางกลยุทธ์การตลาดให้เหนือกว่าคู่แข่งได้

2. เห็นโอกาสในการพัฒนา
การติดตามและวิเคราะห์คู่แข่งยังช่วยให้ธุรกิจค้นพบโอกาสใหม่ ๆ ในการปรับปรุงธุรกิจ เช่น การสังเกตภาษาที่คู่แข่งใช้ในการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งอาจทำให้เราได้ไอเดียในการพัฒนาแผนการตลาดหรือการปรับแต่งผลิตภัณฑ์และบริการให้ดียิ่งขึ้น

3. ค้นหาความแตกต่างของแบรนด์
การวิเคราะห์คู่แข่งจะช่วยให้เราเห็นจุดที่ทำให้ธุรกิจของเราต่างจากคู่แข่ง ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนากลยุทธ์ที่ทำให้แบรนด์เราโดดเด่นและสร้างความได้เปรียบ

4. เข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
การสังเกตปฏิกิริยาจากกลุ่มเป้าหมายต่อแบรนด์ของคู่แข่งช่วยให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียหรือรีวิวต่าง ๆ เราสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการปรับปรุงการบริการและผลิตภัณฑ์ของเราให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

5. มีเกณฑ์เปรียบเทียบความสำเร็จ (Benchmarking)
การวิเคราะห์คู่แข่งยังช่วยให้เราตั้งเกณฑ์วัดความสำเร็จที่ชัดเจน โดยเปรียบเทียบกับเส้นทางการเติบโตของคู่แข่ง เราสามารถติดตามความก้าวหน้าของธุรกิจผ่านตัวชี้วัดที่สำคัญ (KPIs) และปรับปรุงกลยุทธ์ตามที่จำเป็น

การทำ Competitor Monitoring ด้วยบริการ Monitoring and Alert ของ Wisesight

บริการ Monitoring and Alert คือ บริการที่ออกแบบมาเพื่อแบรนด์หรือธุรกิจที่ต้องการติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของคู่แข่งบนโลกโซเชียลมีเดีย เฝ้าดูว่าคู่แข่งทำแคมเปญอะไรใหม่ ๆ หรือมีการสื่อสารอย่างไร ทำให้แบรนด์สามารถปรับกลยุทธ์และการสื่อสารเพื่อที่เหนือกว่าคู่แข่งได้ โดยข้อมูลที่ได้จะถูกดึงมาจากแพลตฟอร์ม Zocial Eye ของ Wisesight ซึ่งช่วยในการวิเคราะห์และให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญกับการทำการตลาดของแบรนด์แบบ 24 ชั่วโมง

  • แจ้งเตือนรวดเร็วและตรงประเด็น: คุณสามารถกำหนดหัวเรื่อง (Topic) ที่ต้องการรู้เกี่ยวกับแบรนดคู่แข่งเพื่อรับการแจ้งเตือนแบบทันทีได้ เช่น การกล่าวถึงแบรนด์ในเชิงบวกหรือลบ, การเปิดตัวแคมเปญของคู่แข่ง หรือประเด็นที่อาจกลายเป็นวิกฤต ทำให้แบรนด์สามารถตอบสนองและรับมือได้ทันเวลา
  • ลดเวลาและภาระของทีมติดตามข้อมูล: บริการนี้มีทีมที่คอยตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลแทน ทำให้แบรนด์ไม่จำเป็นต้องมีบุคลากรติดตามข้อมูลเอง ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานในการจัดการข้อมูลจำนวนมาก
  • การวิเคราะห์เชิงลึกและการตอบสนองที่รวดเร็ว: ช่วยติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมืออาชีพช่วยให้แบรนด์สามารถรับรู้ถึงความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์คู่แข่ง ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของคู่แข่ง ฯลฯ เพื่อการวางแผนกลยุทธ์และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยบริการ Monitoring and Alert จะช่วยให้คุณรู้ทุกความเคลื่อนไหวของแบรนด์คู่แข่ง ไม่ว่าจะเพื่อศึกษากลยุทธ์ของคู่แข่งหรือแม้กระทั่งข้อคิดเห็นของผู้บริโภคก็ตาม  


ตัวอย่างการใช้บริการ Competitor Monitoring 

ยกตัวอย่างการใช้บริการ Competitor Monitoring เช่น บริษัท A ที่ทำธุรกิจเครื่องสำอาง ต้องการทราบความคิดเห็นและเทรนด์เกี่ยวกับแบรนด์คู่แข่งอย่าง B โดยใช้บริการ Monitoring and Alert เพื่อติดตามการพูดถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ของคู่แข่ง ทั้งด้านรีวิว ข้อคิดเห็น และความรู้สึกของลูกค้า เมื่อพบความคิดเห็นเชิงลบที่เกิดขึ้นจำนวนมาก หรือประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจของบริษัท B ทางบริษัท A สามารถตั้งการแจ้งเตือนผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น อีเมล LINE ฯลฯ เพื่อรับทราบข้อมูลทันที และนำมาใช้วางแผนปรับกลยุทธ์การตลาด หรือออกแคมเปญที่เน้นจุดแข็งของตัวเองเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้มากขึ้น 

ขั้นตอนการทำ Competitor Monitoring ด้วยบริการ Monitoring and Alert

  1. กำหนดเป้าหมายการมอนิเตอร์: ระบุชื่อแบรนด์คู่แข่ง และคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง เช่น ผลิตภัณฑ์ใหม่ แคมเปญการตลาด หรือความคิดเห็นของลูกค้าที่ต้องการติดตามผลด้วยการทำ Social Listening
  2. เลือกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและข้อมูลที่เหมาะสม: เลือกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของคู่แข่งที่ต้องการติดตาม เพื่อวางแผนการเก็บข้อมูลที่เหมาะสม
  3. ทำการประมวลผลข้อมูลด้วยผู้เชี่ยวชาญ : ทีมผู้เชี่ยวชาญทำการมอนิเตอร์และจำแนกข้อมูลที่เข้ามา เช่น คำชม คำวิจารณ์ หรือข้อมูลที่อาจมีความเสี่ยง และทำการติดตามข้อมูลให้ 24 ชั่วโมงในเรื่องที่จัดหมวดหมู่ไว้ เพื่อที่แบรนด์จะได้รู้ว่าเรื่องไหนที่คู่แข่งได้รับคำชม หรือได้รับคอมเมนต์เชิงลบ จะได้นำมาวางแผนรับมือหรือออกแคมเปญการตลาดต่อไปได้อย่างเหมาะสม
  4. แจ้งเตือนข้อมูล: Monitoring and Alert ของ Wisesight สามารถแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่แบรนด์ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็น LINE, อีเมล หรือแอปพลิเคชัน Message center ช่วยให้แบรนด์รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับแบรนด์คู่แข่งได้อย่างรวดเร็วและสะดวกที่สุด

อย่าลืมมอนิเตอร์คู่แข่งทางการตลาด เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางธุรกิจ

จะเห็นว่าคู่แข่งทางการตลาด คือ ธุรกิจที่มีโอกาสแย่งชิงส่วนแบ่งลูกค้าของเรา ดังนั้น การทำ Competitor Monitoring ด้วยบริการจาก Wisesight จึงช่วยให้แบรนด์สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่ แคมเปญการตลาด หรือความคิดเห็นจากผู้บริโภค โดยสามารถแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น LINE และอีเมล การติดตามนี้ช่วยให้แบรนด์สามารถปรับกลยุทธ์และพัฒนาการสื่อสารเพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสนใจบริการสามารถลงทะเบียนเพื่อปรึกษาเราก่อนได้เลย ที่นี่