หลังจากสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบร่าง “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” ในวันที่ 27 มีนาคม 2567 ประเทศไทยจะเป็นชาติแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย ที่ผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมต่อจากไต้หวันในปี 2562 และเนปาลในปี 2566 อีกทั้งยังเป็นวันที่ต้องบันทึกลงในประวัติศาสตร์ไทย เพราะนี่ถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทยที่มีการแก้ไขกฎหมายให้ทุกเพศสมรสกันได้ ถือเป็นข่าวดีของคู่รักชาว LGBTQIA+ ในบ้านเราที่รอคอยเรื่องนี้กันมาอย่างยาวนาน
จากผลการลงมติดังกล่าว ทาง Wisesight Research ได้ทำการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ “สมรสเท่าเทียม” ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 มีนาคม 2567 ผ่านเครื่องมือ Zocial Eye จากบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยในวันที่ 27 มีนาคม 2567 เป็นวันที่มีการประกาศเห็นชอบกฎหมายสมรสเท่าเทียม มีการพูดถึงเรื่องนี้บนโซเชียลมีเดียสูงถึง 5,474,554 เอ็นเกจเมนต์ จาก 17,060 ข้อความ
ทั้งนี้ข้อความส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม X มากที่สุด (70%) ตามมาด้วย Facebook (20%) Instagram (3%) และช่องทางอื่น ๆ (7%) ส่วนท็อปแฮชแท็กคงหนีไม่พ้น #สมรสเท่าเทียมที่ใช้กันไปมากกว่า (58%)

เมื่อดูสถิติการพูดถึง เนื้อหาที่พูดถึงเกี่ยวข้องกับ 3 ประเด็นหลัก คือ
1. การแสดงความยินดีที่ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมผ่าน
ประเด็นที่คนพูดถึงโดยส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความยินที่สภาฯ ผ่านร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม แล้ว โดยกลุ่มคนที่ร่วมแสดงความยินดีนอกจากบุคคลทั่วไปแล้ว ยังมีกลุ่มผู้สนับสนุน LGBTQIA+, คนในวงการบันเทิง, รวมถึงคนในวงการการเมืองที่ต่างพร้อมใจร่วมแสดงความยินดีผ่านโซเชียลมีเดียที่คนทุกเพศจะได้มีสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียมในฐานะมนุษย์เหมือนกัน หลังจากร่วมผลักดัน
พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมมายาวนานตลอดสองทศวรรษ
2. บุพการีลำดับแรก “ถูกปัดตก”
ถึงแม้ชาวไทยจะได้เฮกันลั่นหลังสภาฯ ผ่านร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม และเตรียมการพิจารณาในชั้น สว. อย่างไรก็ดี ยังมีสิ่งที่คนบนโซเชียลถกเถียงและต้องลุ้นกันต่อ เนื่องจากประเด็นที่ กรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างน้อยขอเพิ่มคำว่า “บุพการีลำดับแรก” ลงไปในร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ถูกสภาฯ ปัดตก เนื่องจาก กมธ. เสียงข้างมาก ชี้แจงว่าคำว่า บุพการีลำดับแรก ไม่เคยมีมาก่อน และยังไม่เคยมีการศึกษาถึงผลกระทบที่ตามมา นั่นแปลว่า คู่รัก LGBTQIA+ ยังไม่สามารถมีสถานะเป็น พ่อ-แม่ ของเด็กร่วมกันได้ (เพราะร่างที่ผ่านการพิจารณาไปแล้วนั้นไม่รวมสิทธิการมีครอบครัวของคู่สมรสเพศหลากหลาย)

3. พ.ร.บ. คู่ชีวิต ไม่เท่ากับ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม
ซึ่งเสียงของคนบนโซเชียลมองว่า การที่ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมผ่าน ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เพราะบางอย่างต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันผลกระทบอื่น ๆ ที่อาจตามมาได้
นอกจากประเด็นหลัก ๆ สองเรื่องข้างต้นแล้ว ยังพบว่ามีประเด็นย่อยอย่างเรื่อง พ.ร.บ. คู่ชีวิต กับ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ที่คนพูดถึงกันอยู่บ้างว่า ไม่ควรนำเอา พ.ร.บ. มาเปรียบเทียบกัน เพราะในเชิงหลักการและเชิงปฏิบัติของตัว พ.ร.บ. มีความแตกต่างกัน เช่น
-คำนิยามให้คู่รัก พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม นิยามให้ทุกคู่รักเป็น ‘คู่สมรส’ ส่วน พ.ร.บ. คู่ชีวิต นิยามให้คู่รัก LGBTQIA+ เป็น ‘คู่ชีวิต’
-เรื่องสิทธิและสวัสดิการคู่สมรสทุกคู่ของ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม นั้น ไม่แบ่งแยก ขณะที่ พ.ร.บ. คู่ชีวิต สิทธิและสวัสดิการอาจยังไม่ครอบคลุม เช่น การหมั้น สิทธิลดหย่อนภาษี หรือสิทธิประกันสังคม เป็นต้น
และนอกเหนือจากรายละเอียดที่ต่างกันแล้ว ที่คนบนโซเชียลถกเถียงกันคือเรื่อง พรรคการเมืองไหนเป็นคนเริ่มต้นผลักดันเรื่องสมรสเท่าเทียมขึ้นมาก่อน
สมรสเท่าเทียมคืออะไร?
สมรสเท่าเทียม คือ การสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไม่จำกัดเฉพาะชายและหญิง เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายตามหลักความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยจะก่อให้เกิดสิทธิในการหมั้น การจดทะเบียนสมรส การจัดการทรัพย์สินของคู่สมรส การเป็นผู้จัดการแทนในทางอาญาเช่นเดียวกับคู่สมรส การรับมรดกเมื่ออีกฝ่ายเสียชีวิต การรับบุตรบุญธรรม การรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม รวมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์การเบิกจ่ายสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส เช่น การรับประโยชน์ทดแทนจากประกันสังคม และการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล รวมถึงสิทธิอื่น ๆ ทางกฎหมายที่รับรองสิทธิของคู่สมรส
หรือสรุปง่าย ๆ สมรสเท่าเทียม คือ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในการสร้างครอบครัวโดยไม่จำกัดเพศ
ย้อนรอยเส้นทาง 23 ปี สมรสเท่าเทียม
กว่าจะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพื่อให้ ‘ทุกเพศ’ เท่ากันอย่างวันนี้ อันที่จริงประเทศไทยมีการขับเคลื่อนและต่อสู้เรียกร้องเรื่องนี้จากกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิ LGBTQIA+ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ มานานแล้ว ย้อนไปตั้งแต่ปี 2544 เคยมีแนวคิดเรื่องสมรสเท่าเทียม แต่เวลานั้นถูกต่อต้านจากกระแสสังคมอย่างหนัก ด้วยค่านิยมแบบดั้งเดิมที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวแบบ ชาย-หญิง, ความเชื่อทางศาสนา รวมถึงยังมีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่กังวลต่อความเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างทางครอบครัว รัฐบาลจึงยุติแนวคิดดังกล่าวไป
โดยตลอดระยะเวลา 23 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้คนเริ่มเปิดกว้างทางความคิดและให้การยอมรับกลุ่มคน LGBTQIA+ มากขึ้น อีกทั้งยังมีการรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวคิดเรื่อง “สมรสเท่าเทียม” กลับมาได้รับการสนับสนุนอีกครั้ง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยหลังจากนี้สภาผู้แทนราษฎรจะส่งร่าง พ.ร.บ. ให้วุฒิสภาพิจารณาตามขั้นตอน หากได้รับความเห็นชอบ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ความสำเร็จในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงก้าวแรก แต่เชื่อว่าเป็นก้าวสำคัญของความเท่าเทียมที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้มีความเสมอภาคมากขึ้น และเป็นเรื่องน่ายินดีที่เปิดโอกาสให้บุคคลเพศทางเลือกได้ใช้ชีวิตอย่างเสรีด้วยสิทธิเท่าเทียมกัน